Wrong Turn 5: Bloodlines ภาคนี้ก็ต่อจากภาคบีกินนิ่งครับ เหตุการณ์เกิดในช่วงฮาโลวีนปี 2003 (ซึ่งก็คือเกิดก่อนภาคแรกเล็กน้อยนั่นเอง)
ภาคนี้หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งมาเที่ยวงานเทศกาลมนุษย์ภูเขาในเวสต์ เวอร์จิเนีย แล้วก็เจอกับเมย์นาร์ด (Doug Bradley) ฆาตกรต่อเนื่องที่หลบหนีการจับกุมมากว่า 30 ปี ซึ่งการที่เมย์นาร์ดมาเจอกับหนุ่มสาวกลุ่มนี้ก็ส่งผลให้เขาโดนจับเขาคุกครับ
แต่ปัญหาคือ เมย์นาร์ดน่ะเป็นผู้ปกครองของพวกมนุษย์กินคนเจ้าเก่า ดังนั้นพวกมันเลยเดินทางเข้าเมืองมาสร้างความสยอง เพื่อช่วยเมย์นาร์ดกลับไปภาคนี้ยังคงกำกับโดย Declan O’Brien ซึ่งทำหน้าที่กำกับด้วย ผลที่ได้ก็คือหนังออกมาเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นน่าจดจำนัก (ยกเว้นฉากโซเดมาคอมที่ชักจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ) ตัวละครก็ลดปริมาณความฉลาดลง ฉากแหวะแม้จะมี แต่ด้านความตื่นเต้นกลับไม่มากเท่าภาคก่อนๆ
แต่ถ้าถามว่าผมสนใจตรงไหนของหนังก็คงยกให้การที่ Bradley มารับบทเมย์นาร์ด ซึ่งคอหนังสยองรุ่นเก่าน่าจะจำดาราคนนี้ได้ครับ เพราะเขาคือคนสวมบท “พินเฮด” ไอ้หัวตะปูแห่งหนังสยองแหวะระดับตำนานเรื่อง Hellraiser นั่นเอง การแสดงของพี่แกก็ยังใช้ได้ครับ ดูน่ากลัวไม่เลวแต่ปัญหาคือ เมย์นาร์ดน่ะเป็นผู้ปกครองของพวกมนุษย์กินคนเจ้าเก่า ดังนั้นพวกมันเลยเดินทางเข้าเมืองมาสร้างความสยอง เพื่อช่วยเมย์นาร์ดกลับไปภาคนี้ยังคงกำกับโดย Declan O’Brien ซึ่งทำหน้าที่กำกับด้วย ผลที่ได้ก็คือหนังออกมาเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นน่าจดจำนัก (ยกเว้นฉากโซเดมาคอมที่ชักจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ) ตัวละครก็ลดปริมาณความฉลาดลง ฉากแหวะแม้จะมี แต่ด้านความตื่นเต้นกลับไม่มากเท่าภาคก่อนๆแต่ปัญหาคือ เมย์นาร์ดน่ะเป็นผู้ปกครองของพวกมนุษย์กินคนเจ้าเก่า ดังนั้นพวกมันเลยเดินทางเข้าเมืองมาสร้างความสยอง เพื่อช่วยเมย์นาร์ดกลับไปภาคนี้ยังคงกำกับโดย Declan O’Brien ซึ่งทำหน้าที่กำกับด้วย ผลที่ได้ก็คือหนังออกมาเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นน่าจดจำนัก (ยกเว้นฉากโซเดมาคอมที่ชักจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ) ตัวละครก็ลดปริมาณความฉลาดลง ฉากแหวะแม้จะมี แต่ด้านความตื่นเต้นกลับไม่มากเท่าภาคก่อนๆและบทเมย์นาร์ดนี้ก็คือตัวละครเดียวกับชายชราที่ปั้มที่ปรากฏตัวในภาค 1 และ 2 น่ะครับ แม้ถ้าพิจารณาตามไทม์ไลน์หรือรายละเอียดบางอย่างแล้วมันอาจมีขัดๆ กันบ้างก็เถอะ แต่เขาว่าอย่างนั้นกันก็ว่าไปตามนั้นน่ะนะครับ ก็คือ O’Brien พยายามผูกเรื่องให้เข้ากับหนังต้นฉบับให้มากที่สุดนั่นแหละครับ
เหมาะสำหรับคนที่ตะบันติดตามมาตั้ง 4 ภาคน่ะนะครับ ดูภาค 5 ต่อก็คงไม่เสียหาย แต่ถ้าใครไม่โอเคกับภาค 3 – 4 ก็ควรทำใจให้ดี (หรือคิดให้ดี) ก่อนรับชมครับ ^_^