“When We First Met” (2018 / Netflix) เป็นหนังโรแมนติกที่บอกเล่าเรื่องราวของ Noah หนุ่มแสนซื่อที่ชีวิตเปลี่ยนไป ตั้งแต่เขาได้รู้จักกับสาวสวยคนหนึ่งในคืนวันฮาโลวีน ซึ่งเธอก็คือ Avery ทั้งคู่คุยกันถูกคอไปทุกเรื่องและมีช่วงเวลาดีๆร่วมกันในคืนที่เจอกันครั้งแรก แต่ทว่าความจริงที่แสนเจ็บปวดคือความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับเป็นได้แค่เพื่อนที่แสนดีตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จนถึงวันที่ Avery ได้ตัดสินใจหมั้นกับหนุ่มหล่อรูปงาม ความเจ็บปวดของ Noah (ผู้อยู่ใน “Friend Zone” มาตลอด 3 ปี) ที่ไม่อาจทนเห็นสาวในฝันลงเอยกับหนุ่มคนอื่นนำเขาไปสู่การย้อนเวลาผ่านตู้ถ่ายรูปโบราณ
Noah ได้รับโอกาสในการย้อนกลับไปในเช้าวันที่เขาจะได้เจอกับ Avery ครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เขาจึงพยายามที่จะทำให้ผู้หญิงคนนี้หลงรักเขาให้ได้ ผ่านการย้อนเวลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
แม้เนื้อหาของ “When We First Met” จะไม่ได้แปลกใหม่อะไรกับเรื่องของการย้อนเวลากลับไปแก้ไขความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีดีพอที่จะดึงดูดผู้ชมอันดับแรกก็คือบรรดาทีมนักแสดง ทั้ง Alexandra Daddario ที่สวยมีเสน่ห์จนไม่แปลกใจที่ตัวละครเอกจะอยากย้อนเวลาไปจีบเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ได้ครองรักกัน ร่วมด้วย Adam Devine ในบทหนุ่มที่รักเดียวใจเดียวและพยายาม(จนมากเกินไป)เพื่อให้ตัวเองสมหวังกับสาวในฝันและ Robbie Amell ในบทหนุ่มหล่อที่ไร้ข้อติ ปิดท้ายด้วยสาว Shelley Hennig (จาก Ouija และ Unfriended) ที่ค่อยๆโดดเด่นขึ้นตามช่วงเวลาที่ปรากฏบนจอ
ส่วนอีกข้อที่ถือว่าหนังทำออกมาได้ลงตัวก็คือการหาบทสรุปของการย้อนเวลาของตัวละคร Noah กับการสะท้อนว่าบางคนนั้นเกิดมาคู่กันและตกหลุมรักกันในช่วงเวลาสั้นๆ ส่วนบางคนอาจต้องใช้เวลานานและใช้โอกาสมากกว่านิดหน่อย เพื่อที่จะมองเห็นคนที่เกิดมาคู่กับเรา การที่เราได้พบเจอกับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพราะ “พรมลิขิต” หรือ “เรื่องบังเอิญ” ย่อมสร้างความสั่นสะเทือนกับชีวิตของเราได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยตัวละคร Noah เป็นตัวแทนของคนที่หลงอยู่ในวังวนความสัมพันธ์ในรูปแบบเดิมๆ จนทำให้เขามองไม่เห็นหนทางหรือสิ่งอื่นๆรอบตัวได้ค่อนข้างชัดเจน
“คนที่ใช่” อาจไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เราตกหลุมรักตั้งแต่ในครั้งแรกที่เจอ ไม่ใช่คนที่เราต้องพยายามไขว้คว้ามา จนสูญเสียความเป็นตัวเอง แต่ “คนที่ใช่” บางครั้งก็อาจจะเป็นแค่คนที่เราคุยแล้วรู้สึกสบายใจที่สุดในทุกเรื่อง โดยที่ยังเป็นตัวเราเอง
โดยสรุป “When We First Met” แม้จะมีช่วงกลางเรื่องที่ตัวละครดูมีพฤติกรรมล้นๆ น่ารำคาญอยู่บ้าง แต่การที่หนังเริ่มต้นได้น่าสนใจและมีบทสรุปที่ลงตัวทำให้ภาพรวมของหนังเรื่องนี้จัดว่าเป็นหนังโรแมนติก คอมเมดี้ ที่ถือว่าดูสนุกเรื่องหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องของการเห็นความสำคัญของโอกาสในการแก้ไขเรื่องในอดีต แต่มันคือเรื่องของการให้ความสำคัญต่อโอกาสที่จะเกิดขึ้นในชีวิตครั้งต่อไป