โดยส่วนตัวนั้นเพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้หลังจากชวดในโรงไป (หลังจากดูจบก็ดีใจน่ะที่พลาดดูในโรง) เรื่องนี้นั้นความน่าสนใจคงหนีไม่พ้นการที่ได้ผู้กำกับมือดี + นักแสดงที่เป็นจุดขาย พร้อมกับ บทที่น่าสนใจ และ การตัดต่อตัวอย่างที่ทำให้น่าค้นหาอย่างเป็นระยะๆ แต่หนังจริงๆนั้นจะเป็นอย่างไรไปอ่านเลยครับ
Vanishing On 7th Street หนังได้เล่าเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ประกาศข่าวชื่อดังอย่าง ลุค ที่เขาก็ตื่นเช้าขึ้นมาในวันธรรมดาวันนึง และ ทำกิจวัตรประจำวันอย่างที่เขาทำทุกวัน จนกระทั่งเขานั้นได้เพิ่งสังเกตุว่า ‘ทุกคนได้หายไปจากโลก’ นี้กันหมดแล้ว แต่แล้วไม่รู้โชคชะตาหรืออย่างไร เขาดันได้ไปเจอกับผู้รอดชีวิตอีก 3 คน ประกอบด้วย เด็กลูกแหง่อย่าง เจมส์ , สาวเสียลูกอย่าง โรสแมรี่ และ เด็กปั้ม อย่าง พอล ซึ่งพวกเขาทั้ง 4 นั้นต้องช่วยกันเอาตัวรอดจากเจ้าปีศาจที่กินมนุษย์ทั้งโลกไปให้ ซึ่งโดยภายหลังนั้น พวกเขาจึงรู้ว่า แสงไฟ จากไฟฉายและจากที่ต่างๆนั้นเป็นตัวเดียวที่ฆ่ามันได้เท่านั้น
Vanishing On 7th Street ได้ผู้กำกับมือดีอย่าง Brad Anderson หลังจากที่เคยฝากผลงานหนังทริลเลอร์เรื่องเยี่ยมอย่าง The Machinist และหนังสยองขวัญทางรถไฟอย่าง Transsiberian และมาครั้งนี้ไม่รู้อะไรโดนใจให้เขาไปหยิบเอาหนังแนวนี้มาทำอีก โดยการวิธีการปีศาจที่ไม่รู้ไปก๊อปมาจากเกมส์ Alan Wake รึปล่าว ซึ่งตัวหนังนั้นก็ต้องบอกเลยว่าเป็นอีกเรื่องที่ใช้คำพูดได้ว่า ‘ท่า(ไม่)ดี แต่พอมาทีก็เหลว’ ซึ่งก่อนอื่นเลยนั้น สิ่งเดียวที่ชอบในหนังเรื่องนี้เลยนั้นคงหนีไม่พ้น การที่หนังเล่น ‘เสียดสี’ เกี่ยวกับเรื่องของ โลกร้อน และ ดวงอาทิตย์ โดยผ่านตัวละครหลักทั้ง 4 ตัวที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะตอนจบของหนัง ซึ่งหลายคนที่ได้ดูคงรู้ว่าหนังนั้น เสียดสี ได้เจ็บแสบมากเกี่ยวกับเรื่องแสงไฟฟ้า พลังงาน ต่างๆ ที่คนเรานั้นมีดวงอาทิตย์อยู่แล้ว..
ซึ่งคนเรานั้นมีดวงอาทิตย์อยู่แล้วในตอนกลางวัน ที่แสงแดดออกจะเจิดจ้า แต่คนเราก็ยังดินรนที่จะเปิดแสงไฟต่างๆ + วิธีคิดในแนวฉบับของ ‘Solar Cell’ ในหนังยังถือว่าทำออกมากัดจิกผ่านตัวละครเด็กตัวน้อยๆได้อย่างดี ซึ่งนอกจากการกัดจิกนี้แล้วนั้น หนังก็ไม่สามารถหาอะไรมาเล่นได้อีกแล้ว ในความเห็นของผม ซึ่งถ้ามองในมุมกลับกัน ทางด้านข้อเสีย ของหนังนั้น อย่างแรกที่หนังน่าจะทำได้ดีกว่านี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘ความตื่นเต้น’ ซึ่งดูหนังเรื่องนี้จบนั้นต้องขอบอกเลยว่า ‘ดูตัวอย่างยังตื่นเต้น’ ซะกว่า โดยเฉพาะการที่หนังเล่นในแนว emotion เดียวตลอดทั้งเรื่องจนอาจจะทำให้คนดูเบื่อ
และหลับได้ในที่สุด เหตุเพราะ emotion ที่ว่านี้หนังก็ไม่ได้ แอ็คชั่น หรือ สืบสวน และ น่าตื่นเต้น อะไรมากมาย แต่หนังมาในแนวที่ น่าเบื่อ อืดอาด และ ‘พยายาม’ ทำให้ตื่นเต้น แต่สุดท้ายการที่พยายามมากเกินความจำเป็น ทำให้หนังเรื่องนี้นั้นหมดมุกตั้งแต่ 10 นาทีแรกของหนังที่เฉลยไว้ว่า มีผู้รอดชีวิต หลงเหลืออยู่ด้วย (เอ๊ะ !? หรือตั้งแต่ในตัวอย่าง) ซึ่งที่เหลือคงต้องหาต้นตอว่า ไอสิ่งดำๆนี้มันคืออะไร แต่เมื่อถึงฉากเฉลยหนังกลับ FAIL และ ตกม้าตายอีกรอบ ใครหลายคนที่ยังไม่ได้ดู ถ้าได้ดูคงคิดเหมือนกัน ขอข้ามข้อนี้ไป เพราะเดียวอาจจะ สปอยล์ ซึ่งนอกจากนั้นบทหนังของตัวละคร ที่อยู่ในแนวของ ‘สุกเอาเผากิน’ นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้หนังดูสนุกขึ้นเลย โดยเฉพาะความเก่งกาจของพระเอกที่เกินจะมองข้ามว่า ‘เอ็งเก็งเว่อร์ได้ไงฟร่ะ’ (ภายในเวลาอันน้อยนิดเนี่ยหน่ะ)
โดยรวมนั้น สำหรับหลายคนที่พลาดการดูโรงของเรื่องนี้ไปนั้น โดยส่วนตัวถือว่าเป็นเรื่องดี และ ประหยัดเงินไปอีก 140 บาทเพื่อเก็บไปดูหนังเรื่องอื่นๆดีกว่า จะมาดูหนังแนว ตื่นเต้น ที่ไม่ตื่นเต้น เรื่องนี้เลยนั้น แต่โดยส่วนถ้าใครจะหามาดูรับรู้ว่าหนังนั้น แย่ อย่างที่พูดจริงหรือไม่ ก็เชิญหามาดูได้เลยครับกับเรื่องนี้