เห็นท่าทางแบบนี้อย่าคิดว่าต้องออกมาสไตล์บู๊แอ็คชั่นหมัดมวยซะเมื่อไรเมื่อตลอดทั้งเรื่องคือการดำเนินเรื่องให้กับฉากชีวิตประมาณ 70% ในขณะที่เหลืออีก 30% หรือต่ำกว่านั้นคือความมันส์จากฉากต่อสู้ ดังนั้นใครอยากได้อะไรอย่างที่ Jet Li เคยทำในหนังของเขาก็บอกได้เลยว่าถ้าหวังเอามันส์รับรองว่ามีหลับกันบ้างแน่ๆ เว้นแต่อยากเห็นการแสดงที่มีมากกว่าคิวบู๊เตะต่อยที่เห็นเป็นประจำหรือจะบอกว่าเรื่องนี้มีดราม่าคงไม่ผิด และที่สำคัญบทของหนังเรื่องนี้ยังถูกเขียนมาเพื่อ Jet Li โดยเฉพาะ ฉะนั้นแล้วเราจะไม่ได้เห็นใบหน้านิ่งบ้างยิ้มหน่อยอีกต่อไปอย่างหนังเรื่องอื่นๆ เพราะครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งการพิสูน์ฝีมือให้กับนักแสดงสายแอ็คชั่นให้ประจักษ์ว่าตัวเองก็มีทักษะเล่นอย่างอื่นได้ดีไม่แพ้กัน
Danny the Dog เป็นอีกชื่อหนึ่งของหนังเรื่องนี้ที่ใช้ศัพท์อย่างตรงตัวกับเนื้อเรื่องของแดนนี่ (Jet Li) ที่กลายเป็นขี้ข้าที่ถูกเลี้ยงใช้ไม่ต่างกับสุนัขที่เชื่อฟังเจ้าของ ทั้งยังซื่อตรงต่อคำสั่งโดยไม่ตะหงิดใจว่าตัวเองทำไปเพื่ออะไรกันแน่ในชีวิตนี้ ซึ่งการเลี้ยงดูให้เชื่อฟังพร้อมทั้งอบรมสั่งสอนให้เก่งในวิชาต่อสู้นั้นก็เพื่อใช้ประโยชน์ในการตามเก็บลูกค้าที่ยืมเงินเวลาขัดขืนตลอดจนเอาไว้ใช้ป้องกันตัวเองเสมือนเอาไว้เป็นโล่ป้องกันตัวเอง แล้วคนที่สั่งสอนให้รู้จักคำว่าโลกที่มีเพียงแต่ในกรงขังคือบาร์ท (Bob Hoskins) ที่นำแดนนี่มาเลี้ยงตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้เป็นคนได้และใช้ชีวิตหางานทำได้ในโลกภายนอก ทว่าด้วยการเลี้ยงแบบปิดกั้นอิสระไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองในโลกภายนอกจึงกลายเป็นคนที่จมปลักกับสิ่งเดิมๆจนมีความรู้ความเข้าใจเท่ากับเด็กน้อยไร้ซึ่งประสบการณ์คิดเองไม่ค่อยได้เพราะถูกสั่งให้ทำเพียงอย่างเดียว และวิธีควบคุมแดนนี่คือปลอกคอธรรมดาๆอันหนึ่งที่ยามใดที่บาร์ทปลดออกจากคอเมื่อไหร่เท่ากับว่าแดนนี่จะเข้าสู่โหมดต่อสู้ที่ไม่ต่างกับสุนัขที่ยังต้องเชื่อนายต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะปลดตะขอให้จึงจะมีความดุร้าย และบาร์ทได้ใช้ชีวิตของแดนนี่เช่นนั้นเรื่อยมาจนวันหนึ่งได้ไปสะดุดตาใครบางคนก่อนจะยื่นข้อเสนอให้กับบาร์ทที่มีค่าตอบแทนอย่างงามโดยการขอให้แดนนี่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ใต้ดิน
แม้ว่าบาร์ทจะทำให้แดนนี่เชื่อเขาจนไม่ต่างกับสุนัขรับใช้ที่แสนซื่อสัตย์ก็จริง ทว่าแดนนี่เองยังมีความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ถูกเกี่ยวกับสิ่งที่ค้างคาใจมาโดยตลอดอย่างเรื่องฝันร้ายที่แม่ตัวเองตายอย่างไม่เข้าใจว่าทำไม แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาโหยหามากที่สุดคือเปียโนที่อยากได้อยากสัมผัสราวกับเคยมีมาก่อนซึ่งนี่เป็นปมในใจอย่างหนึ่งตลอดมา จนกระทั่งมาเจอชายแก่ตาบอดคนหนึ่งชื่อว่าแซม (Morgan Freeman) มาเล่นเปียโนให้ฟังพร้อมกับให้แดนนี่ได้ลองสัมผัสกับเปียโนอย่างใกล้ชิด และนับแต่นั้นมาแดนนี่ก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่างกับชีวิตที่ไม่น่าจะจมปลักกับที่เดิมที่ใจไม่ต้องการอีกต่อไป ดังนั้นแดนนี่จึงตัดสินคิดหนีจากบาร์ทไปแสวงหาตามที่ใจต้องการแต่ทว่าเกิดโดนคู่อริดักเล่นงานทั้งเขาและบาร์ท แต่แดนนี่ได้สติหนีไปก่อนจนได้พบกับแซมอีกครั้งในสภาพบาดเจ็บและได้รับการช่วยเหลือกลายเป็นบุคคลภายในบ้านหลังเดียวกันที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เรียนรู้ด้วยกัน ตลอดจนการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เดิมเป็นอยู่ของแดนนี่ให้กลายเป็นคนใหม่ซึ่งท้ายที่สุดก็กลายเป็นคนในครอบครัว กระนั้นเรื่องราวกลับไม่ได้ลงเอยกันที่สวยหรูในตอนจบเมื่อบาร์ทที่ถูกอริเล่นงานกลับ