ในทีแรกนั้นก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้ดูหนังโค่นพันธ์อสูรภาคนี้ เพราะว่าทั้งจากภาค 1-3 และตัวอย่างที่ปล่อยออกมานั้นผมมีความรู้สึกเฉยๆไปในทางที่ไม่อยากดูมาก แต่พอความเห็นจากคนดูออกมาหลายๆที่แล้วนั้น ก็จึงขอไปลองเสี่ยงกับหนังชุดนี้อีกสักครั้ง ในระบบ 3D ของหนังที่จะดีหรือไม่ไปอ่านเลยครับ
เซลีน นักรบแวมไพร์สาวในตำนานประจันหน้ากับคู่ปรับที่ทรงพลังที่สุดของเธอ ขณะที่เธอค้นพบความลับที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เธอเคยสู้เพื่อมันไป เมื่อเธอตื่นขึ้นมาหลังจากกว่าทศวรรษ เซลีน ต้องหัวใจสลายเมื่อรู้ว่า ไมเคิล คนรักสายเลือดไลแคนของเธอได้จากไปแล้ว แต่ไม่ช้าความเศร้าของเธอก็จางหายไปเมื่อได้พบว่า ระหว่างที่เธออยู่ในสภาพถูกแช่แข็งอยู่นั้น เธอได้ให้กำเนิดลูกสาวของเขา อีฟ การต่อสู้ดุเดือดขึ้นอีก เซลีนถูกกีดกันจากคนในเผ่าที่เหลืออยู่ เธอจึงขอความช่วยเหลือจากแวมไพร์เกิดใหม่ เดวิด ผู้ร่วมมือกับเธอเพื่อแก้แค้นแอนติเจน เมื่อไลแคน ศัตรูสุดโหดดันผงาดขึ้นมามีอิทธิพลอีกครั้ง
Underworld Awakening ในภาคนี้กำกับโดย 2 ผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง มานส์ มาร์ลินด์ และ บยอร์น สไตน์ จากฝั่งของยุโรป ที่เลือกจะกำกับภาคนี้โดยใส่ลูกเล่นอย่าง 3D เข้าไปในหนังเช่นเดียวกับผีชีวะภาค 4 อย่าง Resident Evil : Afterlife ที่ในด้านระบบ 3D ของหนังในภาคนี้นั้นก็ถือว่าทำออกมาได้ในระดับมาตรฐาน โดยในด้านความมีมิติ หนา บาง ลึก ตื้น นั้นยังถือว่าพอมองออกอยู่ในหลายฉาก ส่วนถ้าใครหวังจะดูฉากทะลุจอนั้นก็อาจจะผิดหวังเล็กน้อยเพราะว่าหนังไม่ได้เน้นสิ่งเหล่านั้นมากสักเท่าไหร่ และสำหรับด้านฉากแอ็คชั่นที่ถือว่าเป็นจุดขายของหนังชุดโค่นพันธุ์อสูรในภาคนี้นั้น ก็ต้องขอชมผู้กำกับ และสามารถบอกได้เต็มปากเลยว่า ‘นี้คือภาคที่มันส์ที่สุด’ เพราะถึงแม้ว่าฉากแอ็คชั่น และ คิวบู๊ ทั้งหลายนั้นอาจจะไม่สดใหม่และไม่ได้แปลกตา
แต่เพราะการที่ผู้กำกับนั้นเลือกที่จะทำหนังให้ยาวเพียงแค่ 88 นาที หนังจึงไม่มีช่วงที่รู้สึกว่าอืดอาด หรือ เอื่อย เลยสักนิดแต่กลับอัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชั่นที่มีมันส์บ้าง สนุกบ้าง อยู่ตลอดทั้งเรื่อง จึงไม่แปลกใจเลยทำไมฉากแอ็คชั่นในช่วงท้ายๆนั้นสามารถทำให้คนดูสนุกได้มากกว่าในภาคก่อนๆ เพราะการที่หนังเล่นอัดแน่นฉากเหล่านั่นมานั้นเอง ส่วนในด้านนักแสดงของหนังในภาคนี้อย่าง เคท เบคคินเซล ก็ยังสามารถกลับมารับบทแวมไพร์สาวสุดเซ็กซ์ซี่ในชุดหนังสีดำรัดหุ่นเฟิร์มอย่าง เซลีน ได้อย่างมีเสน่ห์ และ งดงาม ควบมาดเท่ในฉากแอ็คชั่น มากกว่านางเอกในภาค 3 อย่าง โรห์น่า มิตรา อย่างแน่นอน
และในด้านของพระเอกใหม่ในภาคนี้อย่าง ธีโอ เจมส์ ถึงแม้ว่าเสน่ห์และหลายๆอย่างอาจจะไม่เท่ากับพระเอกในภาคแรกอย่าง สก๊อตต์ สปีดแมน แต่ถ้ามองในมุมมองของสาวๆนั้น พระเอกภาคนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เท่และโดดเด่นในด้านการใช้อาวุธในฉากแอ็คชั่นพอๆกับนางเอกครับ แต่ถ้าหากพูดถึงในด้านข้อเสียของหนังในภาคนี้ก็ยังเป็นเรื่องราวเดิมๆที่ผมยังคงติในทุกภาคนั้นคือ การออกแบบ เหล่ามนุษย์หมาป่าอย่าง ไลแค่น ที่ดูแล้วคล้ายคลึงกับหนังเกรดบีมากกว่าจะเป็นหนังฟอร์มใหญ่ขนาดนี้ เพราะในหลายฉากนั้นตัว ไลแค่น ดูอัปลักษณ์และดูไม่น่าเกรงขามอย่างมาก พร้อมกับการที่หนังเน้นใช้บรรยากาศที่ค่อนข้างมืดแทบจะ 80% ของหนัง เพราะฉะนั้นในระบบ 3D ของหนังนั้นจึงอาจจะไม่ถูกใจหลายๆคนตรงด้านที่ภาพมันมืดมากเนี่ยแหละ
ส่วนในด้านของบทในภาคนี้ก็อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าสามารถเล่าออกมาได้อย่างกระชับ และรวดเร็ว แต่ด้านข้อเสียของบทในภาคนี้ก็ยังคงเป็น ความเชย ที่ตัวบทนั้นก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆมามอบให้คนดู เรียกได้ว่าแทบจะเดาได้ทุกก้าวที่ตัวละครเดินไปเลยก็ว่าได้ พร้อมกับด้านความสมเหตุสมผลเกี่ยวกับการแพร่เชื้อของเหล่าแวมไพร์ และ ไลแค่น ในหนังนั้น ดูแล้วมันก็ยังมีช่องโหว่ และ เปิดให้คนดูตั้งคำถามเกี่ยวกับช่องโหว่นั้นได้ค่อนข้างมากมาย แต่ถ้าหากใครกลัวว่าจะเสียเงินเข้าไปหลับแบบ Resident Evil : Afterlife ผมก็ขอยืนยันให้อีกเสียงว่า ภาค 4 ของ Underworld นั้นมันส์และสนุกกว่าหลายเท่าตัวครับ
สรุป Underworld Awakening ถือว่าเป็นหนังโค่นพันธุ์อสูรภาคต่อที่ทำออกมาได้ไม่เสียของและเป็นภาคที่มันส์ที่สุด ด้วยฉากแอ็คชั่นที่อัดแน่นตลอดทั้งเรื่องและเสน่ห์ของนางเอกทำให้ภาคนี้ดูเพลิดเพลินและสนุกสนานไปกับความโหดเลือดสาด จะมีก็แต่การออกแบบ ไลแค่น ที่ดูแล้วไปคล้ายกับหนังเกรดบีไป