หากคุณเข้าเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว คงจะเคยได้ยินทฤษฎีว่า ‘เมื่ออยู่ใกล้ใครเราจะติดนิสัยบางอย่างมา’ แน่นอนว่ามันเป็นเพียงทฤษฎีที่โมเมขึ้นมาเอง จริงๆแล้วคุณอาจจะไม่เคยได้ยินมันด้วยซ้ำ ในด้านใดด้านหนึ่งของพฤติกรรม การลอกเลียนแบบมักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เช่น การติดคำพูดของเพื่อน การรับประทานอาหารเหมือนพ่อ การเดินที่คล้ายแม่ ณ ขณะนั้นเองนิสัยของคนใกล้ๆกำลังกลายมาเป็นนิสัยของตัวเองในที่สุด
เมื่อคนมีความรัก คนรักที่อยู่ใกล้ชิดกันแล้ว ยิ่งซึมซับเอาทฤษฎีนี้ไปเป็นส่วนหนึ่งไม่ว่าจะซึมส่วนที่ดีหรือส่วนที่แย่ของใครสักคนมาก็ตาม ยกตัวอย่าง ฝ่ายชายไม่เอาไหนเมื่ออยู่ใกล้ๆผู้หญิงรักเรียน สารเคมีในสมองบางอย่างจะสั่งงานให้เขาสนใจเรื่องเรียนขึ้นมา หรือฝ่ายหญิงที่มีน้ำหนักตัวที่ไม่น่าพอใจ คบหากับชายที่ชอบออกกำลัง สมองก็จะหลั่งบางอย่างมาควบคุมให้เกิดการอยากลดน้ำหนักขึ้นมา เราตั้งชื่อทฤษฎีนี้ว่า “ภาพลวงตาของความรัก”
ตอนเป็นวัยรุ่นเราแทบไม่ได้คิดหรอกว่า ใครจะดีเด่มาจากไหน หัวใจสำคัญจริงๆของตอนนั้นคือ หากเรารักเขา เขารักเรารึเปล่า วัยรุ่นที่กำลังเรียนรู้คำๆนี้ ต่างมองว่าไม่ว่าจะดี จะแย่ ขอแค่เราทั้งคู่รักกันก็น่าจะเพียงพอ โลกทั้งโลกประหนึ่งสองเราได้ร่วมสร้างกันมา ไม่อาจแบ่งแยกคนทั้งสองออกจากกันได้ หากรวมเป็นหนึ่งได้ก็คงทำไปแล้ว ฉะนั้นแล้วช่วงวัยหนุ่มสาวเราจึงแฮปปี้อยู่กับวินาทีแห่งความรักได้เต็มที่ๆสุด มันเป็นช่วงวัยแห่งความประทับใจและความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน จนกระทั่ง…
โลกใบนั้นกำลังพังทลาย ล่มสลายไปตามเวลา พวกเขาเติบโตขึ้นและเผชิญกับโลกใบใหม่ที่โหดร้ายกว่าโลกที่เขาสร้างกันขึ้น โลกสีชมพูอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป ปัจจัยหลายอย่างเข้ามามีส่วนตัดสินโลกใบเดิม หน้าที่การงาน เวลา เงินทองค่าครองชีพ ความเหมาะสม หลายสิ่งหลายอย่างถูกสร้างขึ้นเป็นอุปสรรคสำหรับความรักที่เคยสวยงาม วัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่บางครั้งก็รวดเร็วเกินไปกว่าที่จะได้สัมผัสเรื่องราวดีๆ
ในทางปฏิบัติหลายคนอาจไม่ได้สร้างโลกเพียงใบเดียวร่วมกันและจมอยู่ตลอดไป พวกเขาสร้างโลกแต่ละใบเป็นของตัวเอง และสร้างทางเชื่อมหากันด้วยสิ่งที่เรียกว่ารัก จึงไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยอยู่แค่พื้นที่แคบๆแค่คนสองคน พวกเขาแค่ทำบางสิ่งในโลกของพวกเขาเอง แล้ววันใดก็ตามที่พวกเขาเหนื่อยล้า เขาจะเชื่อมโลกเข้าหากันด้วยความรักซึ่งกันและกัน
อนาคตที่มีร่วมกันคือปัจจุบันที่ร่วมสร้างมา