5,000 ปีก่อน ชายผู้ทะเยอทะยานและไร้ความปรานี นามว่า เมมนอน (สตีเว่น แบรนด์) เชื่อว่า เขาถูกกำหนดให้มาปกครองผู้คนที่กระจัดกระจายอยู่ในทะเลทราย เขาพร้อมด้วยกองทัพที่โหดร้ายทารุณ บุกไปทั่วทั้งภูเขาและที่ราบ สังหารผู้คน และนำคนที่เหลือมาเป็นทาส เขาต่อสู้อย่างไร้ความปรานีกับใครก็ตามที่ต่อต้านเขา ด้วยรู้ตัวเองว่ามีศัตรูอยู่มากมาย แผนการณ์ต่าง ๆ ของ เมมนอน ได้รับคำแนะนำจากผู้พยากรณ์คนหนึ่ง
เมื่อเราย้อนเวลากลับไปในปี 2002 The Scorpion King คือภาพยนตร์ภาคแยกที่แตกหน่อออกมาจากภาคต่อของหนังยอดฮิต The Mummy Returns (2001) ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของตัวละครอย่างมาธาอุส ซึ่งเกิดขึ้นก่อน The Mummy ภาคแรกนานกว่า 5000 ปี! ซึ่งรับบทโดยดเวย์น จอห์นสัน หรือที่บรรดาแฟนมวยปล้ำรู้จักเขาในนาม เดอะร็อค
The Scorpion King บอกเล่าเรื่องราวของเมมนอน (สตีเฟ่น แบรนด์) เจ้าแห่งทะเลทรายผู้แผ่ขยายอำนาจไปทั่วทุกหนแห่ง เขาขึ้นชื่อในความโหดเหี้ยม ไร้ความปราณี เมมนอนมีศัตรูอยู่ทั่วทุกสารทิศ บรรดาเหล่าชนเผ่าต่างๆจึงพยายามหาหนทางปราบทรราชคนนี้โดยการไปว่าจ้างมาธาอุส ชายผู้สืบเชื้อสายนักรบมากความสามารถเพื่อขัดขวางเมมนอนไม่ให้ครอบครองทั่วผืนแผ่นดินแห่งทะเลทรายด้วยการกำจัดผู้พยากรณ์
มาธาอุสต้องลอบเข้าไปในเมืองโกโมราห์อันชั่วร้ายของเมมนอน และพบว่าผู้พยากรณ์ของเมมนอนนั้น เป็นหญิงสาวสวยชื่อ คาสซานดรา (เคลลี ฮู) ทำให้มาธาอุสตัดสินใจลักพาตัวเธอหนีออกมาจากตัวเมืองแทนที่จะสังหารเธอ!
แม้มาธาอุสจะรู้ดีว่าตนเองนั้นมีกองกำลังจำนวนมากที่พร้อมจะต่อสู่ศึกกับเมมนอนครั้งนี้ และหนทางเดียวที่จะยุติสงครามได้คือการเผชิญหน้ากับเมมนอนโดยตรง อย่างไรก็ตามคาสซานดราได้ทำนายดวงชะตาให้กับมาธาอุส และพบว่าเขาจะต้องตายในสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะยึดคติของชีวิตว่า จะอยู่อย่างเป็นอิสระหรือตายอย่างผู้กล้า! และคนเดียวที่จะลิขิตชะตาได้ ก็คือตัวของเขาเองเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่หนังเข้าฉาย ถือว่า The Scorpion King เปิดตัวได้สวยในอเมริกาด้วยรายได้ 36 ล้านเหรียญฯ และทำรายได้ในบ้านเกิดไปที่ 91 ล้านเหรียญฯ ส่วนตลาดต่างประเทศทำเงินไป 89 ล้านเหรียญฯ รวมรายได้ทั้งสิ้น 180 ล้านเหรียญฯ จากงบประมาณต้นทุนในการสร้าง 60 ล้านเหรียญฯ
แน่นอนว่าชื่อเสียงของเดอะร็อคในฐานะของ “นักแสดง” นำอย่างเต็มตัวครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงหนังเรื่องต่อๆมาอาทิ The Rundown (2003) Walking Tall (2004) จนเราสามารถกล่าวได้ว่า นี่คือการเดบิวต์ครั้งสำคัญของเดอะร็อคในวงการแผ่นฟิล์มก็ว่าได้
แม้คำวิจารณ์ของ The Scorpion King จะออกมาแบบครึ่งๆกลางๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นหนังในกลุ่มป๊อปคอร์นดูเพลินๆแบบไม่ต้องเปลืองรอยหยักในสมอง ฉากต่อสู้ดูตื่นเต้นดุเด็ดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แน่นอนว่าเมื่อหนังประสบความสำเร็จจึงมีการแตกภาคต่อตามออกมาอาทิ The Scorpion King 2: Rise of a Warrior (2008) แต่ถูกส่งตรงลงตลาดดีวีดี (แน่นอนว่าเดอะร็อคไม่กลับมาเพราะเขาดังเกินกว่าจะมาเล่นภาคต่อคุณภาพห่วยๆอีกต่อไปแล้ว) ความนิยมของหนังเรื่องนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าต่อให้คุณภาพทุเรศทุรังแค่ไหน ก็ยังคงได้รับการตอบรับจากคนดูยาวนานจนสร้างถึงภาคที่ 5 อย่าง The Scorpion King: Book of Souls กันทีเดียว!