The Lodge เป็นเรื่องราวของครอบครัวเล็กๆ ที่เพิ่งเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่มา แต่พ่อของเขาก็พยายามให้ลูกๆ ได้ก้าวข้ามเรื่องราวที่เป็นบาดเจ็บในจิตใจอันสาหัสออกไปให้ได้ ด้วยการจัดทริปเล็กๆ ในช่วงวันหยุดปลายปีไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศนอกเมือง ชมวิวหิมะขาวโพลนก่อนวันคริสมาสต์ โดยเขาได้พา เกรซ แฟนสาวคนใหม่ร่วมทริปไปด้วย เพื่อหวังจะได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกๆ ของพวกเขา
แต่ระหว่างทริปในครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องกลับเข้าเมืองเพื่อสะสางงานต่อให้เสร็จ เพื่อปลีกตัวหยุดยาวและอยู่กับลูกๆ และว่าที่แม่คนใหม่ของลูก เกรซกับ 2 พี่น้องต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังอยู่ที่บ้านที่ห่างไกลจากผู้คน ด้วยความหวังที่จะปรับความเข้าใจและผสานรอยร้าวต่างๆ ไม่เห็นเด็กทั้งคู่มองว่าเธอเป็นต้นเหตุของบาดแผลที่เกิดขึ้นในครอบครัวครั้งนี้ แต่ก็เกิดเรื่องราวลึกลับขึ้นระหว่างที่พวกเขาได้อยู่กันเพียงลำพัง
โทนและบรรยากาศขับความรู้สึกหวาดกลัว
ต้องยอมรับในเนื้องานของ 2 ผู้กำกับคนนี้จริงๆ เพราะพวกเขายังเก่งในการค่อยๆ สร้างโทนและอารมณ์เข้ากับจุดประสงค์หลังของหนังเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะงานภาพและแสงต่างๆ ที่ต้องการสื่อออกมา ดูลึกลับและไม่น่าไว้วางใจในหลายๆ มุม ทำให้บ้านพักตากอากาศที่รายล้อมไปด้วยหิมะขาวปกคลุม กลายเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองและดูไม่น่าจะเป็นทริปสุขสันต์เทศกาลสิ้นปีสักเท่าไหร่ การใช้หิมะและพายุหิมะเข้ามาเป็นองค์ประกอกบ ก็ถือว่าได้ช่วยยกระดับโทนหนังให้ดูสิ้นหวังยิ่งเข้าไปอีก เป็นประสบการณ์ที่คนดูหนังจะรู้สึกเหมือนกับหายใจไม่ค่อยสะดวก และอึดอัดเข้าไปเรื่อยๆ
ภาพและเสียงเชิงสัญลักษณ์อยู่เต็มไปหมด
2 ผู้กำกับคือเจ้าของผลงานหนังเด็กนรกที่โดนใจกรรมการอย่าง “Goodnight Mommy” เมื่อปี 2014 แน่นอนว่าเอกลักษณ์ในงานของพวกเขาคือการใส่ข้อความเชิงสัญญาณต่างๆ ปะปนเอาไว้ในหนังเต็มไปหมด เรื่องนี้ก็จัดเต็มอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสัญลักษณ์เชิงศาสนาและคำสอนต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งเชิงภาพและเสียง เป็นองค์ประกอบที่ทำให้คนดูรู้สึกอึดอัดเพิ่มขึ้นๆ ซ้ำยังมีภาพวาดต่างๆ ที่พยายามสื่อออกมาให้คนดูตีความ รวมทั้งบ้านตุ๊กตาจำลองที่ดูเหมือนจะใช้เป็นภาพเชิงจำลองความคิดของตัวละครที่ถ่ายทอดแต่ละฉากๆ ออกมาได้อย่างแยบยล
บทหนังดูเหมือนจะซับซ้อน แต่ก็กลับเข้าใจได้
ว่ากันตามเนื้อผ้าที่ออกมา บทหนังเรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่ผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด ยังมีช่องว่างช่องโหว่ปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง ความไม่สมเหตุสมผลในท้องเรื่องก็ยังมี แต่เมื่อนำมาผสมผสานเข้ากันกับรายละเอียดและโทนของหนังด้วยแล้ว ทำให้บทหนังดูมีชั้นเชิงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เกรซ (นำแสดงโดย “ไรลีย์ คีโอ”) เต็มไปด้วยมิติหลายๆ ด้านที่ทำให้คนดูแยกแยะแทบไม่ออกว่า…แท้ที่จริงเธอเป็นอะไรกันแน่ ในขณะที่บท 2 พี่น้อง เอเดน กับ มีอา (นำแสดงโดย “เจเดน ลีเบอร์เฮอร์” และ “ลีอา แม็กฮิวจ์”) ก็ทำท่าเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เนื้อแท้จริงๆ เด็ก 2 คนนี้กลับซ่อนงำอะไรเอาไว้เยอะเลยทีเดียว
เหมือนหน้าหนังจะหลอกเบาๆ เพราะแอบหักมุม
จะว่าไปหน้าหนังก็ดูจะสับขาหลอกคนดูเบาๆ อยู่เหมือนกัน เพราะดูจะเป็นหนังเขย่าขวัญติดอยู่บ้านกลางหิมะ ระหว่างเด็ก 2 คนกับแม่เลี้ยงคนใหม่ พร้อมตัดตัวอย่างหนังออกมาให้ดูวังเวงและไม่น่าไว้ใจ พร้อมกับใส่รายละเอียดและสัญลักษณ์ให้ดูเข้าถึงยาก โยงไปถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่น่าหวาดกลัวๆ สร้างโทนให้ดูซับซ้อน หลอนๆ งงๆ แบบหนังของ “อารี แอสเตอร์” อย่าง Midsommar หรือ Hereditary แต่อันที่จริงกลับเข้าใจง่ายกว่าเยอะ และไม่ต้องขยี้ตีความใดๆ มากนัก อันที่จริงก็เป็นเพียงหนังเขย่าขวัญทั่วไป แต่มีลูกเล่นกับจิตสัมผัสของคนดูอย่างมีกลยุทธ์เท่านั้นเอง
สรุปแล้ว The Lodge ก็นับว่าเป็นหนังที่่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ใดๆ ให้ความบันเทิงและดูหลอนสนุกไปอีกแบบ แม้ว่าบรรยากาศของหนังจะชวนทำหลับในช่วงครึ่งแรก แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงท้ายของเรื่องที่เครื่องสตาร์ทติดเต็มที่แล้ว เป็นความหฤหรรษ์และหฤโหดอีกรูปแบบที่อาจทำให้ไม่กะพริบตาดู นับว่าเป็นผลงานที่ทำออกมาได้ประสบความสำเร็จอย่างมีชั้นเชิง เพราะอีกรูปแบบของหนังเขย่าขวัญยุคนี้ที่ไม่ใช่ออกมาไล่ฆ่าแบบโจ่งแจ้งกันอีกแล้ว