เพียงสามวันหลังจากหนัง The Grudge ภาคแรกออกฉาย Sony เจ้าของทุนก็ไฟเขียวสำหรับภาคต่อทันที ก็แหงล่ะครับ โดยสามวันแรกเกือบ 40 ล้าน ไม่สร้างต่อก็บ้าแล้ว
เรื่องราวต่อเนื่องจากภาคแรกครับ หลังจากคาเรน (Sarah Michelle Gellar) โดนดีที่บ้านอาถรรพ์ โดนคายาโกะตามล่าจนเอาตัวไม่รอด ก็มาถึงน้องสาวของเธอ ออเบรย์ (Amber Tamblyn) ที่มาเพื่อหาพี่สาวของเธอ ก่อนจะพบว่าเธอตายอย่างมีเงื่อนงำ
ระหว่างการสืบหาความจริงเธอก็ได้พบกับ เอสัน (Edison Chen) นักข่าวที่พยายามหาความจริงเกี่ยวกับบ้านหลังอาถรรพ์เหมือนกัน ก็ได้มาบอกข่าวกับออเบรย์ว่า สาเหตุการเสียชีวิตของคนเรนอาจเกี่ยวข้องกับบ้านอาถรรพ์ที่มีคนหายเข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมา
ในที่สุด ก็มีคนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคำสาปสยองของผีคายาโกะ (Takako Fuji) กับลูกชายโทชิโอะ … ใครเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ … ก็ย่อมได้รับความตายทุกคน
ผู้กำกับ Takashi Shimizu ตั้งใจทำภาคนี้ให้แยกออกมาไม่เกี่ยวกับ Ju-on ชุดดั้งเดิมที่ญี่ปุ่น โดยการจับมือกับ Stephen Susco มือเขียนบทภาคแรกมาสานต่อเรื่องราวใหม่ ซึ่งก็นับว่าสานได้ไม่เลวล่ะครับ พยายามโยงและขยายขอบข่ายของแรงแค้นคายาโกะให้แรงกว่าเดิม
ผมว่าหนังก็มีความพยายามในการผูกเรื่องดีล่ะครับ ฉากการตายก็น่ากลัวดี อีกทั้งการตายก็หลากหลายสถานที่มากขึ้น เกิดได้หมดครับ เก้าอี้สวนสาธารณะยังได้เลย หรือในโรงแรม โอย ไม่มีที่ไหนปลอดภัยแล้วครับ ในหนังอ้ะ
ท่านจะดูหนังสนุกหรือไม่ย่อมอยู่ที่ข้อแม้เดิมๆ คือท่านเชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้ามากน้อยแค่ไหน ยังเห็นเป็นเรื่องตลกไร้สาระเป็นไปไม่ได้อีกหรือไม่ ถ้ายังขำอยู่ก็ขำต่อครับ เพราะจะว่าไปมีเรื่องให้ขำเยอะถ้าจะคิดแบบเชิญยิ้มน่ะนะครับ
แต่ถ้าท่านสนุกและชอบภาคแรกกับเรื่องราวของผีคายากะ ภาคนี้ก็ถือเป็นตอนต่อที่ไม่เลวเสียทีเดียว ซ้ำยังมีการบอกที่มาที่ไปของคายาโกะเพิ่มเติมด้วยว่าทำไมเธอจึงกลายเป็นวิญญาณแค้นที่มีฤทธิ์แรงได้ขนาดนี้ เป็นการเปิดเผยปมส่วนที่เรายังไม่ทราบน่ะครับ และก็มีเหตุมีผล (ในแบบของมัน) ค่อนข้างมาก
ว่ากันว่าบทร่างของหนังเรื่องนี้มีตั้ง 6 เวอร์ชั่นนะครับ เพราะ Susco ร่างไว้เผื่อมันทุกแบบ ไม่ว่าจะแบบที่ให้ Sarah Michelle Gellar กลับมาเล่นนำเหมือนเดิม แต่ผู้กำกับ Shimizu ก็ไม่ใคร่จะเห็นด้วยล่ะครับ เพราะนั่นจะทำให้ฤทธิ์แรงแค้นของคายาโกะดูอ่อนเกินไป เพราะทุกคนควรต้องตายหลังจากที่เธอมาข้องเกี่ยว เลยมีการแปลงอีกจนบทเธอเหลือแค่อย่างที่เห็นน่ะแหละ
อันนี้แล้วแต่รสนิยมล่ะครับ ถ้าท่านว่าหนังชุดนี้ใช้ได้ก็ลองชิมภาคนี้ดู ผมว่าก็ไม่เลวนะ ยังเรื่อยๆ แต่หลายๆ อย่างก็ไม่ขลังเท่าญี่ปุ่น ไม่รู้ผมว่าต้นฉบับมันดูจริง ดิบจริง แต่ของฝรั่งแม้จะน่ากลัว มันก็ยังมีบางฉาก บางบรรยากาศที่ดูประดิษฐ์มากไปหน่อย