เรื่องย่อหนัง ‘The Battleship Island’
หนังเล่าถึงช่วงเวลาของสงครามโลกที่ครอบคลุมไปเกือบจะทั่วทุกที่บนโลก ญี่ปุ่นเป็นอีกชาติหนึ่งที่ร่วมอยู่ในสงครามครั้งนี้ด้วย พวกเขาหลอกกวาดต้อนคนเกาหลีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทั้งชายทั้งหญิงข้ามทะเลมาไว้บนเกาะฮาชิมะ แล้วจัดการบังคับให้ทำงานขุดเหมืองถ่านหินแลกกับเงินเดือนที่ถูกหักโน่นนี่นั่นไปจนหมด
ส่วนหนึ่งของผู้คนที่ถูกพาขึ้นมาบนเกาะนี้ ก็เช่นนักดนตรีมีหนวด ลีคังอ๊ก (ฮวางจองมิน จาก ‘The Wailing’) กับลูกสาวโซฮี (คิมซูอัน จาก ‘Train to Busan’) แล้วก็ยังมีหนุ่มนักเลงปลายแถวอย่างชเวชิลซง (โซจีซบ) และอีกหลายต่อหลายคนที่มาเล่นเป็นตัวประกอบ
ในช่วงเวลานั้นเกาหลียังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นอยู่ พวกเขาถูกพวกญี่ปุ่นกดขี่สารพัด ให้ทำงานหนักและอันตราย
แถมยังได้อาหารและความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่
ตัวอย่างหนัง ‘เดอะ แบทเทิลชิป ไอส์แลนด์’ [ซับไทย]
แม้ที่ผ่านมา จะไม่มีใครหลบหลีกการตรวจตราจากพวกญี่ปุ่นพ้น แต่ใช่ว่าหนทางของการดิ้นรนหลบหนีจากเกาะนรกแห่งนี้จะเป็นศูนย์ เมื่อมีคนเก่งอย่าง พัคมูยอง (ซงจุงกิ) ที่ถูกส่งมาจากหน่วยพิเศษเพื่อแทรกซึมและนำคนสำคัญที่ถูกควบคุมอยู่บนเกาะออกไป
รีวิวหนัง ‘เดอะ แบทเทิลชิป ไอส์แลนด์’
ผลงานการกำกับของ Ryoo Seung-wan เจ้าของผลงานอย่าง ‘Veteran’ (2015) และ ‘The Berlin File’ (2013) ที่หนนี้ได้มากำกับหนังแนวอิงประวัติศาสตร์สงคราม แต่อาจจะเพิ่มเติมเรื่องราวให้ดูเป็นหนังมากขึ้นหน่อย
มากจนมันกลายเป็นหนังชาตินิยมมากเกินไป
มันคือหนังเอาตัวรอดเชิงรักชาติ
หนังส่งให้ชนชาติญี่ปุ่นไม่มีความดีหลงเหลืออยู่ในจิตใจ ข่มเหงคนเกาหลีได้ทุกวิถีทาง จนคนที่ไม่ได้เป็นทั้งเกาหลีทั้งญี่ปุ่นยังรู้สึกตะขิดตะขวงกับความพยายามในการผลักไสความเลวร้ายใส่คนอื่นของหนัง คนเกาหลีใน ‘เดอะ แบทเทิลชิป ไอส์แลนด์’ จะไม่ได้รับความเป็นธรรมในทุกๆ ด้าน ลงเรือไปก็แสนลำบากในการขับถ่าย ในเรือคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอ้วกและอุจจาระ น่าเศร้ามากๆ
พอไปถึงบนเกาะ ถูกบังคับใช้งานโดยที่ได้ค่าจ้างก็เหมือนไม่ได้ ได้กินอาหารที่ไร้ความน่ากิน แถมติดอันดับความสกปรกที่สุดของโลก
หนังพยายามอย่างมากขนาดต้องสร้างความฟูมฟายระดับเมโลดราม่า
The Battleship Island
ภาพจากหนัง ‘เดอะ แบทเทิลชิป ไอส์แลนด์’
ยิ่งคำพูดคำจาที่ทหารญี่ปุ่นพูดกับแรงงานทาสชาวเกาหลียิ่งพบได้ว่า เขาคงไม่มองชาวเกาหลีว่าเป็นมนุษย์ มันเหมือนหนังที่สร้างมาเพื่อทำให้เกิดความเกลียดชังชนชาติอื่นมากกว่าจะนำเสนอความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์
แม้เราจะมองด้วยสายตาที่ปราศจากอคติแล้วก็ตาม
สไตล์หนังออกไปในทางหนังเอาตัวรอดเพียงแต่อาจจะไม่ได้เอาตัวรอดตลอดทั้งเรื่อง เพราะช่วงแรกๆ เหมือนพวกเขายังไม่ทันได้คิดว่าจะหลบหนีไปยังไง ได้แต่เอาตัวให้รอดไปได้นานที่สุด ไม่ก็จบชีวิตตรงนั้นไปเสียเลยดีกว่า ก่อนที่พัคมูยองจะมาช่วยจุดประกายให้ในเวลาต่อมา
การตัดต่อที่ดูแปลกๆ แต่ก็มีฉากที่โดดเด่นอยู่ในนั้น
นอกจากหนังจะใส่ร้ายญี่ปุ่นให้ดูไร้มนุษยธรรม มันก็มีเหมือนกันที่บางส่วนของหนังเหมือนจะถูกตัดไป การเล่าแบบกระโดดทำให้หนังมีความไม่กลมกล่อมอยู่สูง
บางฉากก็จำเป็นต้องมีฉากเชื่อมเล็กๆ เพื่อความสมบูรณ์ในการเล่าเรื่องแต่กลับถูกรวบรัดมาจัดไว้อยู่ในฉากเดียว หรือการเล่าเพียงแค่บทสนทนาทำให้ข้อมูลถูกถ่ายทอดสู่สายตาผู้ชมอย่างรวดเร็วเกินไป