“Present Still Perfect แค่นี้ก็ดีแล้ว 2” เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวความรักและการค้นหาตัวเองของกลุ่ม LGBTQ สร้างต่อเนื่องมาจากหนังภาคแรก ‘Present Perfect’ เมื่อปี 2559 ที่เล่าเรื่องต่อจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ระหว่างชายหนุ่มทั้ง 2 คนกับบรรยากาศที่เป็นใจ “เต้ย” หนีไปรักษาแผลใจที่เกาะกูด เพราะตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เขายังไม่เคยลืมเรื่องคืนนั้นกับ “โอ๊ต” หนุ่มไทยที่บังเอิญได้ใช้ชีวิตด้วยกันในต่างแดน เพียงแค่ช่วงข้ามคืน
ความรู้สึกที่อัดอั้นตั้นใจของเต้ยเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่รอคอยการปะทุออกมา เพราะความคาค้างใจและความคิดถึงวันวานได้ทำให้เขาพลั้งมือส่งข้อความตำหนิผู้ชายที่ไม่ได้ติดต่อกันมาสักพักแบบไม่ได้ตั้งใจ และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น การปรากฏตัวของโอ๊ตที่เกสท์เฮาส์บนเกาะกลางทะเลกลายเป็นภาพที่ทำให้เขาตกตะลึง ความรู้สึกเดิมๆ ที่เกือบจะทิ้งไปแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขาต้องเลือกระหว่าง ความเป็นจริง หรือ ทำตามใจปรารถนา แม้ว่าในท้ายที่สุด พวกเขาต้องลงเอยด้วยคำว่า “ความลาจาก” เหมือนกันทั้งสองทาง
ต้องยอมรับว่า Present Still Perfect กลับมาได้อย่างมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน เมื่อเปรียบเทียบกับหนังภาคแรก งานสร้างโปรดักชั่นต่างๆ ที่ละเอียดยิ่งขึ้น องค์ประกอบของบทหนังก็เพิ่มความกลมกล่อมลงไป ไดอะล็อกของตัวละครก็ดูไม่แข็งทื่อ ดูเด๋อด๋า และขัดใจอีกต่อไป ถือว่าภาคนี้ได้ปรับปรุงแก้ไขข้อเสียจากหนังต้นฉบับได้ค่อนข้างน่าพอใจ ถึงแม้จะยังไม่ได้สมบูรณ์เสียทีเดียว
“อาม-อนุสรณ์ สร้อยสงิม” ที่กลับมารับหน้าที่กำกับหนังเองอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาก็มีพัฒนาการมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการฝึกมือและสั่งสมประสบการณ์จากงานกำกับซีรีส์วายและงานเบื้องหลังระหว่างที่เว้นห่างจากภาคต่อของหนังเรื่องนี้ ทำให้เขามีวิสัยทัศน์ในการถ่ายทอดหนังออกมาในมุมที่ได้อรรถรสและมีจังหวะจะโคนที่ขึ้นตามลำดับ
ในส่วนของนักแสดงนำ “ไอซ์ อดิศร” กับ “โจ๊ก กฤษณะ” ก็พัฒนาขึ้นเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ดาราเบอร์ใหญ่มีชื่อเสียงใดๆ แต่ก็มอบการแสดงที่ดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น พร้อมกับมีอินเนอร์เข้าถึงตัวละคร เต้ย กับ โอ๊ต ได้อย่างเข้าใจกว่าภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด ทำให้การอยู่บนจอคู่กันของเขาทั้งสองคนดูลงตัวมากยิ่งขึ้น เพิ่มอรรถรถและบรรยากาศของหนังให้อิ่มเอมใจมากขึ้น
ถึงแม้ว่าหนังยังค่อนข้างมีปัญหากับบทหนังอยู่ก็ตาม โดยเฉพาะสัดส่วนของความสมเหตุสมผลที่ยังดูขาดๆ เกินๆ บางมุมก็ดูแฟนตาซีเกินไปเสียหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังมีลำดับในการเล่าเรื่องที่ดีกว่าเดิม อีกทั้งยังดูมีเรื่องราวมากขึ้นกว่าเก่า พร้อมกับพยายามสอดแทรกประเด็นความแตกต่างระหว่างเพศกับสังคม รวมทั้งการยอมรับและเข้าใจของคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะมีจุดยืนในแบบของตัวเองเช่นกัน