สำหรับ Overdrive ถูกจับตามองตั้งแต่ปล่อยทีเซอร์มาแล้วว่าจะเป็นสูตรแฟรนไชส์ฟาสฟูดส์แบบ Fast and Furious แถมปูมหลังตัวละครหลักของเรื่องก็มีที่มาที่ไปคล้าย ๆ กัน โดยเฉพาะหากใครที่ได้ดู Fast and Furious 8 มาแล้ว เรื่องนี้ก็ถือเป็นหนังที่จะได้เห็น สก๊อตต์ อีสต์วูด บู๊ซิ่งระห่ำกันแบบจัดหนักจัดเต็มกว่าอย่างแน่นอน และที่น่าสนใจคือได้ทีมอำนวยสร้างที่ประสบการณ์โชกโชนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ปิแอร์ โมเรล ผู้กำกับ Taken มานั่งแท่นโปรดิวซ์ให้ แถมมีมืิอเขียนบทอย่าง ไมเคิล แบรนท์ และ ดีเร็ค ฮาส จากยุค 2 Fast 2 Furious และ Wanted มาตั้งต้นให้หนังเรื่องนี้ ซึ่งคอหนังแอ็คชันก็พอคุ้นมือกันอยู่
เรื่องราวมันเริ่มต้นจากสองพี่น้องฟอสเตอร์อย่าง แอนดรูว์ (สก๊อตต์ อีสต์วูด) และ การ์เร็ตส์ (ฟอร์ดี้ ธอร์พ) ช่างเครื่องต๊อกต๋อยที่จับผลัดจับผลูได้มาเป็นหัวขโมยและทำงานให้กับเจ้าพ่อมาเฟีย จาโคโม โมริแอร์ (ไซมอน อับคาเรียน) กับภารกิจโจรกรรมรถเฟอร์รารีรุ่น 250 GTO ปี 1962 ของรักของหวงของ แม็กซ์ เคลมป์ (เคลเมนส์ ชิค) มาเฟียหนุ่มลายพร้อยที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของโมริแอร์มาตลอด โดยเฉพาะการแผ่อิทธิพลในพื้นที่แต่ละเมืองของฝรั่งเศสที่ทั้งคู่จ้องเขม่นกันอยู่
อย่างที่เห็นฟอร์มหน้าหนังกันอยู่แล้ว ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ต้องพูดพล่ามอะไรเยอะ เพียงแค่เปิดหัวมาก็ส่งสัญญาณบู๊ระห่ำ ได้เห็นสองพี่น้องฟอสเตอร์โชว์ของเต็มที่ตั้งแต่เริ่ม (หมายถึงความสามารถการโจรกรรมมันอ่ะนะ ฮ่า ฮ่า) ซึ่งในระหว่างทางที่ต้องวิ่งสู้ฟัด หนังก็จะค่อย ๆ ปล่อยปูมหลังที่มาที่ไปของพวกมันเองทีละนิดละหน่อยผ่านไดอะล็อกของ 2 พี่น้อง สำหรับแรงจูงใจตรงนี้ของตัวละครก็ไม่ต้องไปซีเรียสกับมันมาก เพราะบางทีมันก็ไม่ค่อยพาให้เชื่อเท่าไหร่นัก ยิ่งฟังเหตุผลของพวกมันแล้วทำไมกลับคิดว่าที่จริงแล้วพวกมรึงสองพี่น้อง want อยากซิ่ง อยากหาเงินทางลัดด้วยวิธีสีเทา ๆ แล้วชักแม่น้ำทั้ง 5 โบ้ยโน่นนี่นั่นเป็นข้ออ้างมากกว่า สรุปก็คือ เอาที่มรึงสบายใจเลย กรูเชื่อก็ได้ (วะ) ว่าแต่กลับเข้าฉากแอ็คชันต่อเถอะ ไม่ต้องพูดเยอะ เดี๋ยวหนังพัง ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ทีนี้จุดเปลี่ยนมันไม่ได้อยู่แค่การจ้องไปขโมยรถของ แม็กซ์ เคลมป์ อย่างเดียว แต่การพบกันของสองศรีพี่น้องกับ เคลมป์ ต่างหากที่ทำให้พลอตหนังมันเริ่มดูมี ‘อะไร’ ขึ้นมาบ้าง เพราะจุดนี้ทำให้ทั้ง แอนดรูว์ และ การ์เร็ตส์ เริ่มมีความคิดบางอย่างที่เปลี่ยนไป ตัวละครเริ่มมีมิติขึ้นมา และนั่นเพิ่มรสชาติให้หนังทันที เพราะก่อนหน้านี้ นอกจากแรงจูงใจของพี่น้องฟอสเตอร์แล้ว อีกจุดที่ผมค่อนข้างเฟลคือจังหวะการปูปมที่มาที่ไปของ มาเฟีย จาโคโม ที่มันดูจะหน่อมแน้ม ดูไม่ลึกลับเท่าที่ควร แบบว่า มันถามอะไรก็ตอบแบบซื่อ ๆ เกินคาดไปน่ะ หลุดลุคเจ้าพ่อ ขาดความน่าเกรงขาม ขาดเสน่ห์ตรงนี้ไปนิด
อย่างไรก็ตาม ถึง Overdrive จะปูเรื่องมาแบบง่อย ๆ แต่หลังจากที่หนังเคลียร์ประเด็นเรื่องการทำความรู้จักกับตัวละครแล้ว พาร์ทหลังจากนั้นเหมือนหนังคนละม้วน ความบันเทิง ความเอ็นเตอร์เทน ที่หนังสามารถสรรหามาได้ก็ประดังเข้ามาแบบจัดเต็มแบบนอนสต็อป โดยเฉพาะซีนแอ็คชันไล่ล่ากันต้องยกนิ้ว (โป้ง) ให้เลยว่าเริ่ดไม่แพ้หนัง racing หน้าไหนเหมือนกัน มีฉากโกงตายหลายฉากที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูโดดเด่นมีของเกินหน้าเกินตาหนังเกรดบีทั่วไป ไล่ตั้งแต่ฉากระเบิดตูมตามทำได้สมจริง มีคิวบู๊ที่ดีไซน์มาได้ดูเท่เกินคาด กระจายความเท่ได้เข้ากับตัวของ แอนดรูว์ และ การ์เร็ตส์ ให้ดูแตกต่างกันแต่ลงตัวดี รู้สึกเหมือนได้ดู Fast and Furious ยุคแรก ๆ เพียงเปลี่ยนแค่มาใช้รถคลาสสิกไล่ล่ากันเท่านั้น ซึ่งจุดนี้สำหรับสาวกรถคลาสสิกก็คงฟินไปกับเหล่ากองทัพรถรุ่นคุณปู่สุดคูลที่ออกมาไล่ล่ากันแบบจัดเต็มไม่ว่าจะเป็น เฟอร์รารี 250 GTO หรือ BMW 327 ที่พอมาเห็นมันมาอัดไล่กันแล้ว รู้สึกว่ารถพวกนี้มีเสน่ห์ล้นกระจายเลย
อีกจุดที่หนังทำได้เกินคาดคือเรื่องของการพัฒนาบท คือแม้เริ่มต้นมันจะดูเชย ๆ แต่พอยิ่งดูไปเรื่อย ๆ ตัวละครมีพัฒนาการที่โอเค มีหักมุมแบบเป็นน้ำจิ้มให้หนังสนุกได้รสชาติขึ้นมาเป็นระยะนอกเหนือจากการบู๊ไล่ล่ากัน แม้จะเดาทางง่าย แต่กับ 80% ของตัวหนังนั้น มีทุกสิ่งที่หนังเอนเตอร์เทนคนดูต้องมี ด้วยกรอบเวลาชั่งโมงนิด ๆ ที่กำลังพอดี แอ็คชันจัดหนักชนิดล้นเผื่อขาด ถือว่า Overdrive เป็นหนังแอ็คชันงานดีตรงปกอีกเรื่องที่น่าชื่นชมเลย