นิยามได้เลยครับว่าหนังเรื่องนี้ออกแนว “สยอง หลอน เมา” ซึ่งจริงๆ เข้าทางผมนะ แต่ขณะเดียวกันก็เผื่อใจเอาไว้นิดๆ ว่าพอดูแล้วอาจจะไม่ถึงกับชอบมากอย่างที่คาดก็ได้ (ว่าง่ายๆ คือลดความคาดหวังก่อนดูนั่นแหละครับ)
พล็อตเรื่องว่าง่ายๆ เลยครับ ตัวเอกคือ เรด (Nicolas Cage) คนตัดไม้ที่อาศัยอยู่กลางป่ากับภรรยานามว่าแมนดี้ (Andrea Riseborough) ชีวิตของพวกเขาก็ปกติสุขดีครับ จนกระทั่งการมาของลัทธิประหลาดที่นำโดย เจเรไมห์ แซนด์ (Linus Roache) ที่เกิดต้องตาในตัวแมนดี้ตั้งแต่แรกเห็น เลยสั่งให้คนของเขาไปจับตัวเธอมา และหมายมั่นว่าจะได้ครอบครองเธอ
แต่พอทุกอย่างไม่เป็นไปดังคาด และเรดของเราก็ยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงเดินหน้าล่าล้างแค้นให้กับเมียรัก โดยการไล่จัดการพวกมันแบบจัดเต็มทีละคนๆ ไปจนถึงตัวเจเรไมห์
อย่างแรกที่อยากบันทึกไว้คือ มันแปลกดีครับ… ระหว่างที่ผมพิมพ์เล่าพล็อตอยู่นี่ ผมดันนึกถึงฉากในหนังจีน นึกออกไหมครับ พวกหนังจีนโบราณอย่างเปาบุ้นจิ้นเป็นต้น มันจะมีฉากประเภทว่าพวกอันธพาลมาลวนลามฉุดคร่าหญิงชาวบ้านไป แล้วสามีของหญิงคนนั้นก็ต้องหาทางสู้เพื่อชิงตัวเธอมา อันนี้ผมแปลกใจตัวเองครับว่าอีท่าไหนถึงไปนึกถึงฉากในหนังท่านเปาแทนที่จะเป็นหนังฝรั่งหว่า 5555
โอเค กลับมาเรื่องหนังนะครับ ตัวหนังนั้นมีทั้งจุดที่เด็ดและจุดที่ยังเด็ดได้อีก เรามาว่ากันทีละอย่างนะครับ เริ่มจากจุดเด่นที่เด็ดมากๆ ของหนังก่อน นั่นคืองานภาพครับ นี่คืองานโชว์ Vision ของผู้กำกับ Panos Cosmatos อย่างแท้จริง ซึ่งหนังจัดเต็มถึงใจมากๆ ทั้งมุมกล้อง การเล่นกับแสงเงาและแสงสี โทนภาพที่ดูมัวซัวสลัวๆ อารมณ์เหมือนเรากำลังเมายา เหมือนเรากำลังมองดูภาพที่อยู่ระหว่างความจริงและความฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น และขณะเดียวกันก็ได้อารมณ์หนังยุค 80 – 90 รวมถึงหนังแนว Grindhouse ด้วย
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ผมคิดอยู่ตั้งแต่ตอนดูตัวอย่างแล้วครับ ว่าหนังจะออกมาในโทนนี้ไหม หรือจะมีแค่ไม่กี่ฉาก แต่ปรากฏว่าหนังมาเต็มครับ ตลอด 2 ชั่วโมงหนังอุดมไปด้วยฉากแบบนี้ ดังนั้นถ้าใครหมายมั่นจะได้ดู Vision บิดๆ เบี้ยวๆ เมาๆ มัวๆ เก่าๆ ขลังๆ ล่ะก็ น่าจะสาแก่ใจกันไป
ดาราที่คัดมาเล่นก็ถือว่าเหมาะครับ พี่ Cage ไปได้ดีมากกับบทเรดที่ตอนจะนิ่งก็ดูนิ่ง แต่พอแกจะคลั่งก็คลั่งแรงแบบที่อะไรก็ขวางแกไม่อยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วตอนที่ผู้กำกับ Cosmatos ติดต่อพี่ Cage ไปตอนแรกนั้น เขาตั้งใจจะให้พี่ Cage มาเล่นเป็นท่านเจ้าลัทธิ เจเรไมห์ แซนด์ ครับ แต่พี่ Cage รู้สึกสนใจที่จะแสดงบทเรดมากกว่า ซึ่งตอนนั้น Cosmatos เขามี Vision เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ว่าจะให้เป็นเรื่องการปะทะกันระหว่างคนรุ่นเก่า (ที่เป็นเจ้าลัทธิ) กับคนรุ่นเยาว์ (ที่ตกเป็นเหยื่อ) ดังนั้นหากมองจาก Vision นี้แล้ว พี่ Cage ก็จะไม่เหมาะกับบทเรด (ที่ควรจะเป็๋นคนหนุ่มตามวิสัยทัศน์ของ Cosmatos) ทำให้การเจรจาครั้งนั้นลงเอยแบบค้างคา ยังไม่มีการตกลงทำสัญญากัน
จากนั้น 1 ปีต่อมา พวกเขาก็มาเจอกันอีกครั้งโดยมี Elijah Wood ที่กินตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้มาเป็นคนกลาง และพวกเขาก็มาลองคุยกันแบบลงลึกถึงมิติของตัวละคร “เรด” ที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวด ความอัดอั้นคับแค้น และการสูญเสียคนรัก ซึ่งตัวพี่ Cage ก็ต้องเผชิญกับเรื่องทำนองนั้นอยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ Cosmatos ก็เขียนผลงานชิ้นนี้ขึ้นก็เนื่องมาจากการสูญเสียพ่อและแม่ ทำให้การสนทนาครั้งนี้นอกจากเป็นการคุยเรื่องมิติของตัวละครในหนังแล้ว ยังเป็นการแบ่งปันเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของพวกเขาด้วย
ทีนี้พอคุยกันไปกันมา Cosmatos ก็เริ่มมองเห็นว่า Cage เหมาะที่จะรับบทเรดจริงๆ แล้วพวกเขาก็ตกลงร่วมงานกันในที่สุดครับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเลือกที่เหมาะสม เพราะพี่ Cage แกทำได้จริงๆ
ส่วน Riseborough ก็เหมาะกับบทแมนดี้มากๆ ครับ โดยส่วนตัวผมมองว่าเธอมีเสน่ห์แบบแปลกๆ นะ รูปหน้าของเธอดูมีความลึกลับและบางครั้งหากจ้องนานๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนโดนสะกด ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็นำเอาใบหน้าที่ทรงเสน่ห์แบบลึกลับของเธอมาประกอบเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม (พูดตรงๆ เลยคือบางโมเมนต์ผมหลอนเพราะหน้าของเธอนี่แหละครับ สวยแต่ก็หลอนด้วย)
และ Roache ที่หลายคนอาจจำได้จากบทโธมัส เวย์นใน Batman Begins มาเรื่องนี้ก็รับบทเป็นเจ้าลัทธิเจเรไมห์ แซนด์ ได้อย่างน่าเชื่อครับ เขาดูคลั่ง ดูหลงตนเอง ดูน่ากลัวและบางขณะก็น่าขบขัน ซึ่งบุคลิกลักษณะหลายๆ อย่างของเจเรไมห์นั้นก็อ้างอิงมาจากเจ้าลัทธิที่มีตัวตนจริงๆ อย่างชาร์ลส์ แมนสัน ไม่ว่าจะเรื่องที่เขาเคยเป็นนักดนตรีมาก่อน (แต่ไม่ประสบความสำเร็จ) และจะใส่อารมณ์เสมอหากมีใครมาสบประมาทดนตรีของเขาล่ะก็ รวมถึงการเรียกขานเหยื่อของพวกเขาว่าเป็นหมู และมักจะมีการเสพยาก่อนก่อการโหดเสมอ
ครับ ดาราจัดว่าดี ดนตรีก็ได้อารมณ์หลอน งานภาพ การถ่ายภาพ ตัดต่อก็ถือว่าทำได้ถึงเครื่องถึงรส เรียกว่าองค์ประกอบต่างๆ ในหนังนี่ผมชอบนะ มันใช่มากๆ สำหรับหนังสยองแนวหลอนๆ เมาๆ แบบนี้ แต่ทีนี้ก็จะมาถึงจุดที่ผมว่ายังเด็ดได้อีกล่ะนะครับ ก็คือการเดินเรื่อง-การเล่าเรื่องซึ่งบางช่วงก็อืดช้าไป เพราะจริงๆ พล็อตก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ เล่าได้สั้นๆ แค่ไม่กี่บรรทัด ดังนั้นภาระหนักอย่างหนึ่งของคนทำก็คือการต้องหาอะไรมาใส่ลงในหนังเพื่อทำให้มันน่าติดตามและดึงดูดคนดูต่อไปจนกว่าหนังจะจบ
ทีนี้การเดินเรื่องระหว่างทางบางช่วงมันก็นิ่งเนิ่บครับ เหมือนเรื่องไม่ได้เคลื่อนไปไหน เน้นโชว์งานภาพอย่างเดียว ซึ่งถ้าเป็นช่วงแรกๆ ผมว่าไม่เป็นไรครับ แต่พอนิ่งมากๆ เข้ามันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าหนังอืด ซึ่งอันนี้ก็คงต้องแล้วแต่ความชอบของคนนะครับ หากใครชอบที่งานภาพเป็นหลัก ก็อาจรู้สึกเพลินตลอดไปจนหนังจบเพราะหนังจัดเต็มเรื่องงานภาพ แต่หากคนไหนต้องการดูทั้งงานภาพและการเล่าเรื่องที่มันน่าสนใจก็อาจรู้สึกถึงความอืดที่ผมกล่าวถึงนี่ก็ได้
อย่างผมนี่จริงๆ ก็ชอบงานภาพครับ แต่พอถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่าหนังไม่ได้มีปมที่ดึงดูดขนาดนั้น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ายังไงเรดก็ต้องไปล่าฆ่าพวกนั้นแน่นอน ดังนั้นก็เหมือนเราต้องนั่งรอน่ะครับ รอให้เรื่องเดินไปถึงตรงนั้น ซึ่งกว่าจะไปถึงก็มีการแวะนั่นแวะนี่ จนสุดท้ายสุทธิแล้วหนังยาว 2 ชั่วโมงครับ ซึ่งจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันยาวอยู่นะสำหรับเนื้อเรื่องที่ไม่ได้มากมายแบบนี้ แม้หนังจะเน้นโชว์งานภาพก็เถอะครับ แต่หากระหว่างงานภาพมันไม่มีอะไรอื่นที่น่าสนใจผสมลงไปด้วย ความน่าติดตามมันก็อาจพร่องลงได้
ดังนั้นแล้วก็ขึ้นกับว่าท่านต้องการเสพอะไรจากหนังบ้างนั่นล่ะครับ หากเน้นเสพงานภาพเหมือนที่ผู้กำกับเน้นจัดงานภาพ ก็น่าจะสมใจ แต่หากอยากดูทั้งงานภาพและอยากเสพเรื่องราวด้วย ก็อาจต้องปรับใจสักนิด เพราะเนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก หรือจะการตามปมทิ้งปมในเรื่องก็ไม่มีสักเท่าไร เหมือนหนังจะเล่าเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ ว่าง่ายๆ คือนี่ไม่ใช่หนังลึกลับในแง่ของเนื้อหาครับ แต่เป็นหนังลึกลับในแง่บรรยากาศมากกว่า
แต่ยังไงก็ต้องขอชมผู้กำกับ Panos Cosmatos นะครับ ถือว่าทำหนังออกมาได้เด่นมากๆ ในเรื่องงานภาพและอารมณ์ที่ดูกึ่มๆ อึมครึมๆ ซึ่งถือว่าหาได้ยากในยุคนี้สมัยนี้ และสำหรับคนที่คุ้นๆ นามสกุลของเขาก็ขอบอกเลยครับว่าเขาคือลูกชายของผู้กำกับ George P. Cosmatos แห่ง Rambo: First Blood Part II, Cobra และ Tombstone นั่นเองครับ
สรุปว่าโดยรวมแล้วชอบนะ ชอบสไตล์ภาพ ชอบการเล่นสีที่ดูอาร์ทในหลายๆ วาระ แต่จะมาติดก็ตรงการเล่าเรื่องนี่แหละครับที่ยังไม่ถึงกับน่าติดตามแบบเต็มๆ แต่ก็ต้องดูต่อไปครับเพราะครั้งหน้า Cosmatos อาจจะสามารถทำหนังที่มีความกลมกล่อมทั้งงานภาพและการเล่าเรื่องก็ได้ (และมันก็น่าจะเป็นอะไรที่สุดยอดเลยล่ะครับ หากทำได้ตามนั้นล่ะก็)