หลังจากหนีรอดจากประเทศซูดานใต้ที่แหลกสลายด้วยสงครามมาได้อย่างหวุดหวิด คู่รักผู้ลี้ภัยต้องปรับตัวกับชีวิตใหม่ในเมืองเล็ก ๆ ของอังกฤษอย่างยากลำบาก และในเมืองนี้มีสิ่งชั่วร้ายที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงรอขย้ำอยู่
ปัญหาผู้อพยพในยุโรปน่าจะเป็นวาระแห่งทวีปที่คลุมบรรยากาศตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงเป็นธรรมดาที่คนทำหนังอย่าง เรมี วีกเกส ผู้กำกับดาวรุ่งชาวอังกฤษ จะนำความรู้สึกหวาดกลัวลึก ๆ ในใจของทั้งผู้อพยพจากต่างถิ่นต่างแดน หอบหิ้วความทรงจำอันโหดร้ายจากสงครามกลางเมืองในบ้านเกิดมาสู่ชีวิตใหม่อันแปลกแยก และทั้งผู้ให้ที่พำนักที่ต้องเฝ้ามองผู้มาขออาศัยอย่างหวาดระแวง ทั้งปัญหาต่างวัฒนธรรม โรคระบาด การแย่งงานแย่งอาชีพ ตลอดภาระด้านภาษีของประเทศที่ต้องเจียดไปให้แก่คนเหล่านั้น ดั่งโฮสต์ที่เฝ้ามองปรสิตว่าเป็นประเภทกาฝาก ประเภทพึ่งพิง หรือเป็นต้นเหตุของเนื้อร้าย
โบล (โซปี ดิริซู) และ ริอัล (วุนมี โมซากู) คือคู่สามีภรรยาที่หนีตายจากสงครามกลางเมืองในซูดาน นั่งเรืออพยพฝ่าพายุเพื่อไปยังอังกฤษ (นึกอารมณ์ข่าวที่ชาวโรฮิงญาหนีตายมาขอขึ้นฝั่งไทย) แต่โชคร้ายเรือเกิดคว่ำกลางทางจนทำให้พวกเขาสูญเสีย นากัค ลูกสาวคนเดียวไป ทว่าบททดสอบชีวิตใหม่ของพวกเขาก็เริ่มต้นจากนั้น เมื่อรัฐบาลอังกฤษวางเงื่อนไขในการประเมินว่าโบลและริอัลจะสามารถลี้ภัยพำนักในอังกฤษได้หรือไม่ ถ้าไม่ก็จะส่งตัวกลับไปที่ซูดาน ความกดดันจึงเกิดขึ้นกับโบลในฐานะหัวหน้าครอบครัวอย่างมาก
ในขณะที่ด้าน ริอัล กลับยังรู้สึกฝังใจกับการสูญเสียนากัคจนเริ่มเหมือนคนบ้า เมื่อเธอได้ยินเสียงของใครบางคนในบ้านบอกว่า หากสังเวยสามีของเธอ นากัคจะคืนชีพได้ ริอัลรู้ทันทีว่านี่คือเสียงของหมอผีในความเชื่อของแอฟริกาที่เธอได้ยินผ่านนิทานมาตลอด ว่ามันจะตามสาปแช่งหัวขโมยผู้ละโมบมายึดบ้านยึดชีวิตของโจรผู้นั้น และความเชื่อนี้ก็ถูกส่งต่อจากริอัลสู่โบล เมื่อโบลเริ่มได้ยินและเห็น ร่างของผู้อพยพที่ตายไปบนเรือคอยมาหลอกหลอนถึงในบ้านเขาเอง โบลหวาดผวาอย่างหนักขณะเดียวกันริอัลก็ทำตัวแปลก ๆ และกล่าวโทษเขาว่าเป็นคนผิดอยู่เสมอ ซึ่งอีกด้านผู้ประเมินของรัฐบาลอังกฤษก็เริ่มเพ่งเล็งพฤติกรรมแปลกประหลาดของคู่สามีภรรยาด้วย
หนังประสบความสำเร็จในการนำเสนอความย้อนแย้ง และบรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจ จากการอยู่ผิดที่ แปลกแยกจากคนท้องถิ่น ทั้งจากฉากที่เพื่อนบ้านผิวขาวมักจ้องมองพวกเขาอย่างไม่วางใจ ความไร้อารยธรรมของสังคมที่เชื่อว่าเจริญแล้ว อย่างฉากที่นักเรียนสาวผิวขาวเข้ามาแอบนั่งฉี่ในรั้วบ้านต่อหน้าริอัล หรือการที่ริอัลถูกคนที่สีผิวหน้าตาไม่ต่างจากเธออย่างพวกนักเรียนชายอังกฤษผิวดำแกล้งหลอกให้หลงทาง แถมตะโกนไล่ให้กลับแอฟริกา ก็ชวนให้ผู้อพยพที่เคยฝันหวานต้องฝันสลายอยู่ไม่น้อย ไม่แปลกที่ริอัลจะมีใจฝักใฝ่ยอมรับคำเชิญจากปีศาจเพื่อได้กลับบ้าน
ในขณะเดียวกันความพยายามปรับตัวกลมกลืนจนแทบถอดทิ้งรากเหง้าเพื่ออยู่รอดอย่างน่าสงสารของโบลก็ทำให้เขาต้องใส่เสื้อผ้าอย่างโฆษณาในห้างที่นายแบบเป็นคนอังกฤษ ร้องเพลงเชียร์บอลในผับตามคนอังกฤษอย่างเคอะเขิน ตลอดจนเผาทำลายข้าวของเครื่องใช้ที่ติดตัวมาจากซูดานเพราะเชื่อว่าแปดเปื้อนคำสาป แต่กระนั้นในสายตาของพวกคนอังกฤษ เขาก็ยังเป็นน้ำมันที่ไม่อาจผสมกลืนเป็นน้ำได้อยู่ดี
หลังจากเอาสภาพแวดล้อมที่ไม่กลมกลืนมาหลอกหลอนตัวละครจนได้ที่ หนังก็เพิ่มอุณหภูมิการรุกไล่ทั้งตัวละครและผู้ชมให้หลอนสะดุ้งแบบรัว ๆ ด้วยเสียงกระซิบในเงามืด ภาพหลอน ดวงตาหลายคู่ในช่องรูกำแพงบ้าน จนกระทั่งถึงฉากพีกที่ผีมาเต็มบ้านผ่านฉากไฟเปิด-ไฟปิดให้ได้ลุ้นจนตัวเกร็งอยู่เหมือนกัน นอกจากนี้คงต้องชมการแสดงของคู่หลักที่ดึงเราให้ติดแหง่กกับความหวังและการพังทลายได้อย่างดี ฉากโคลสอัปสีหน้าตัวละครที่เป็นของแสลงนักแสดงมีเยอะ แต่นักแสดงเอาอยู่หมด ทั้งดวงตา ท่าทาง เรียกว่าเก็บเรียบ สื่ออารมณ์ทั้งฉากดราม่า ทั้งฉากสยอง ได้สุดยอดมาก ๆ
ความฉลาดในการนำประเด็นสังคม มาเหลาจนคมกริบกลืนไปกับความเชื่อในวัฒนธรรมแอฟริกาโบราณ ที่ให้รสแห่งความลึกลับปนสยองขวัญได้อย่างถึงกึ๋น คือสูตรสำเร็จที่วีกเกสสามารถใช้สร้างอัตลักษณ์อันน่าจดจำให้หนังของเขา โดดเด่นไม่แพ้ผลงานสะท้อนสังคมของ จอร์แดน พีล เจ้าพ่อหนังสยองยุคใหม่ของฝั่งอเมริกา หากแต่วีกเกสอาจขาดลูกลีลาหรือรสนิยมด้านศิลปะภาพยนตร์ทั้งเสียง ทั้งภาพที่ โดดเด้งในแบบ Get Out หรือ Us แต่กระนั้นเขาก็นำเสนอมันด้วยมาตรฐานของหนังคุณภาพได้อย่างจัดเจน เชื่อว่าอนาคตถ้าเขาได้ฝึกกรำจนเจนมือ น่าจะสร้างเอกลักษณ์ของตนเองออกมาได้เด่นชัดกว่านี้ และน่าจะเป็นอีกคลื่นลูกใหม่ของฝั่งอังกฤษให้ได้ติดตามกันแน่นอน