โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าตัวหนังทำออกมาได้ดี สนุกตื่นเต้น เดินเรื่องกระชับฉับไวดีมาก(ตัวหนังราวๆ หนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้น)แต่เนื้อหาสำคัญครบถ้วน ไขปริศนาหลักๆ ที่คนดูอยากรู้ได้หมดทุกข้อ ทุกตัวละครมีความเป็นมาและเป็นไป ส่วนจะใช้ได้คุ้มค่าพอสมควร
ด้านของเนื้อเรื่อง ดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวในตอนนี้ที่นำนิทานของพี่น้องตระกูลกริมม์มาดัดแปลงแล้วสนุกที่สุด ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเรื่องอื่นๆ นั้นมักเป็นการนำนิทานทั้งเรื่องมาขยายเป็นหนัง แต่สำหรับเรื่องนี้ ตัวของนิทานมีอยู่แค่ 5 นาทีแรกของเรื่องเท่านั้น ที่เหลือเป็นไอเดียของผู้กำกับและคนเขียนบท(ซึ่งเป็นคนๆ เดียวกัน)ทั้งสิ้น ทำให้หนังมันมีการต่อยอด มีที่มาที่ไป และสามารถเล่นอะไรก็ได้ที่ต้องการ กล่าวคือ มันเปิดกว้างมากกว่าเรื่องอื่นๆ นั่นเอง
แต่ข้อเสียหลักด้านเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็คือ เดาง่ายมากถึงง่ายที่สุด หรือเพราะมันเป็นหนังสูตรสำเร็จกันนะ? (แค่ผมดูตัวอย่างหนังก็รู้แล้วว่าใครน่าจะเป็นแม่มด แต่คิดว่าจะเล่นมุกหลอกเข้าพวกกับเราแล้วมาแว้งกัดตอนหลังเสียอีก) เนื้อเรื่องหลักของหนังแทบไม่มีอะไรให้หักมุม แต่ก็มีเนื้อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่คาดไม่ถึงให้ได้เซอร์ไพรส์บ้างเล็กๆ เช่น ฉากโทรลช่วยเกรเทล(อย่างเมามันและสะใจ) ฉากบางฉากที่ยังแสดงให้เห็นว่าคนธรรมดาด้วยกันมันน่ากลัวกว่าแม่มด แต่ความดูง่ายไปหน่อยของหนังก็ถูกชดเชยด้วยคิวบู๊สนุกสนานเอามัน มุกตลกเล็กๆ น้อยๆ ที่สอดแทรกอยู่ตลอดอย่างกับดูอเวนเจอร์(แต่ไม่เยอะขนาดนั้น) เสื้อผ้าหน้าผมเครื่องแต่งกาย ฉาก สถานที่ถ่ายทำ SFX CG อุปกรณ์ประกอบฉาก และอาวุธ ที่ผมรู้สึกว่าออกแบบมาได้สวยงามและเหมาะสมมากสำหรับหนังย้อนยุคแต่เน้นแฟนตาซี ทำให้ดูแล้วไม่น่าเบื่อ และด้วยการเดินเรื่องอันรวดเร็วซึ่งใส่มาพอดีกับความยาวของหนัง(ราวๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง)จึงทำให้ทุกอย่างลงตัวเป็นอย่างมาก
ดูไปดูมามันก็คล้ายกับว่า ถ้าหนังทำเงินในระดับที่หน้าพอใจ ทางค่ายก็คงพร้อมที่จะสร้างภาค 2 ต่อ แบบเดียวกับสโนว์ไวท์กับพรานป่า(เพียงแต่ว่ารายนั้นเป๋ไปนิดหน่อย แต่ก็ยังสร้างต่อได้ล่ะนะ) แต่ถ้ารายได้ไม่เข้าเป้า(ซึ่งอาจคาดไว้แล้ว เพราะเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ถึงจะไม่เยอะขนาด GI JOE น่ะนะ)ก็พร้อมที่จะปล่อยให้มันจบลงไปในตัวของมันเอง
สิ่งที่ติดใจผมเพียงสิ่งเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับตัวหนังเลยครับ แต่เกี่ยวกับการจัดเรตบ้านเรา หนังผู้ว่าคน(พันธุ์)เหล็ก – The Last Stand ได้เรต 18+ ก็พอเข้าใจ มันยิงกันตูมตาม เน้นอาชญากรรม ถึงเลือดจะไม่ได้ท่วมจอมากมาย แต่ก็สมควรได้รับเรตนี้ แต่ฮันเซลกับเกรเทลนั้น แม้จะเป็นหนังแฟนตาซี มุกตลกมากมาย แต่ก็อุดมไปด้วยเลือดที่เยอะมากพอๆ กับหนังสยองขวัญ เครื่องในตับไตใส้พุงกระจัดกระจาย และสารพันวิธีการฆ่า ทั้งตัดหัว จ้วงแทงไม่ยั้ง ลูกซองระเบิดหัวแหลกละเอียด การแขวนคอที่แขวนกันบ่อยมาก การรุมซ้อมผู้หญิงคนเดียวโดยชาย 4 – 5 คน แต่หนังเรื่องนี้ได้เรตที่ 15+ เท่านั้น ทั้งๆ ที่ค่ายจัดจำหน่ายก็เป็นค่ายเดียวกัน เรียกได้ว่าไม่ควรเอาเด็กไปดูด้วยเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็ได้แต่ทำใจกับการจัดเรตและการตั้งชื่อหนังบ้านเรา
ผมยังจำได้ดีเมื่อครั้งตอนที่เข้าโรงหนังไปดู “Wanted” ที่ตั้งชื่อไทยให้ชวนเข้าใจผิดไว้ว่า “ฮีโร่เพชฆาต” ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองคิดว่าเป็นหนังฮีโร่ พาลูกไปดูกันพอสมควร จำได้แม่นเลยฉากที่ฝึกพระเอกให้ยิงลูกโค้งแล้วเอาศพคนจริงๆ มาแขวนน่ะ เด็กที่นั่งดูอยู่ข้างๆ (ผู้ชาย) แทบจะร้องแล้วเอาหน้าไปซุกกับพ่อแม่บอกว่ากลัวๆ ใหญ่เลยล่ะครับ ก็คงฝากเรื่องนี้ไว้ว่าอย่าพาเด็กเล็กๆ ไปดูเรื่องนี้นะ นอกจากลูกหลานท่านจะเป็นสาย Guro ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก (ใช้ศัพท์การ์ตูนนี่คงไม่ผิดนะ)