หนังเรื่องนี้ดูแล้วก่อให้บังเกิดอารมณ์ก้ำกึ่ง เพราะจุดที่ชอบก็มีอยู่พอสมควร แต่จุดที่รู้สึกเรื่อยๆ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน มันคือส่วนผสมระหว่างหนังสงครามการรบกับหนังกำลังภายในที่มีตัวละครมาประมือกันน่ะครับชวนให้คิดถึง สามก๊ก เทพเจ้ากวนอู ที่ Donnie Yen เล่น ผมว่าหลายอย่างคล้ายกัน ไม่ว่าจะมีปมดราม่าแทรกเล็กๆ และมีประเด็นการเมืองการยุทธ์สอดแทรกให้เราพิจารณาตามเป็นระยะ อะไรเหล่านี้เป็นต้นหนังเล่าถึงวีกรรมของ ฉีจี้กวง (เจ้าเหวินจั๋ว) ที่ต้องเกณฑ์คนไปปราบโจรสลัดจากแดนอาทิตย์อุทัยที่กำลังกำเริบเสิบสาน ระรานเข่นฆ่าประชาชนแถบมณฑลเจ้อเจียงจนแผ่นดินแถบนั้นลุกเป็นไฟ ไร้ความสงบสุขแล้วมันยังส่งผลให้ประชาชนบางส่วนต้องตั้งตนเป็นโจร หรือไม่ก็รวมกลุ่มกันแย่งชิงทรัพยากรที่นับวันยิ่งร่อยหรอ แต่กระนั้นฉีจี้กวงก็ใช่จะยกพลไปปราบโจรได้โดยง่าย เพราะมันยังมีเรื่องการเมือง เรื่องงบประมาณมาเป็นอุปสรรคอยู่ว่ากันถึงตัวหนังแล้ว ก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ หนังยาว 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็จะมีช่วงอืดช้าเรื่อยๆ อยู่บ้าง จริงๆ ประเด็นในหนังมันค่อนข้างชัดน่ะครับ ว่าเมื่อแผ่นดินเกิดสงครามไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ประชาชนก็ต้องก้มหน้ารับความทุกข์เข็ญ และขุนนางดีๆ ก็ต้องกัดฟันกับความอยุติธรรมขุนนางดีๆ ต้องกัดฟันก็เพราะโดนขุนนางขี้ฉ้อสกัดขัดขา ทำให้ไม่สามารถนำกำลังทรัพย์หรือกำลังเงินมาช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนได้โดยง่าย ก็เลยต้องหาทางลุยเองเพื่อเกณฑ์คนและหาเสบียงเท่าที่ทำได้ แล้วก็ลงมือปราบทุกข์ภัยต่างๆ อย่างทะลักทุเลยิ่ง
“ในแง่การรบท่านนั้นปรีชาสามารถ แต่ในแง่การเมืองแล้ว ท่านยังต้องเรียนรู้อีกมาก” นี่คือประโยคที่ขุนนางคนหนึ่งพูดกับแม่ทัพฉี ซึ่งบอกตรงๆ ว่าได้ยินแล้วกระอักในใจเหมือนกันครับ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า “การเมือง-เส้นสาย-พวกพ้อง” มันคือเรื่องที่แทรกซึมอยู่ตามจุดต่างๆ ของโลกจริงๆจริงๆ ประเด็นที่ว่ามานี่มันน่าสนใจครับ และถ้าเล่าดีๆ โฟกัสดีๆ มันก็จะทำให้หนังดูเข้มข้น เพราะพอแม่ทัพฉีไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องไปหาทางเกณฑ์ชาวบ้านมารบ ซึ่งก็ต้องซื้อใจคน ต้องพิสูจน์ตนว่าเป็นแม่ทัพตงฉินจริงๆ ถึงจะได้ใจชาวบ้านแต่หนังใช้เวลาไปเยอะกับฉากรบ หรือไม่ก็ปมดราม่าตัวละครที่ไม่ค่อยจะส่งผลกับเนื้อเรื่องสักเท่าไรนัก จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหนังเน้นฉากประมือ แล้วก็เน้นความเป็นวีรบุรุษของแม่ทัพฉีมากกว่านี้ หนังน่าจะอยู่ในขั้นน่าจดจำทีเดียว
ผมชอบฉากบู๊ในเรื่องครับ หลายฉากทำออกมาดี อย่างฉากแม่ทัพฉีประมือกับ นายพลโหยว (หงจินเป่า) ในฐานะแฟนเก่าแก่ของนักบู๊ 2 ท่านนี้ สำหรับผมถือว่าคุ้มมากๆ ครับ เป็นการประลองพลองที่หนักแน่นอย่างยิ่งแล้วก็มีฉากบู๊ประปราย อย่างตอนแม่ทัพฉีสู้เพื่อชนะใจชาวบ้าน หรือตอนไคลแม็กซ์เมื่อแม่ทัพต้องปะทะกับหัวหน้าโจรสลัด ก็ถือเป็นคิวบู๊ที่แฝงไว้ด้วยอะไรหลายอย่าง คือพวกเขาไม่ได้จะฆ่ากันอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังมีเรื่องศักดิ์ศรี การไว้ไมตรี การแลกเปลี่ยนทักษะในฐานะชาวยุทธ์ ฯลฯ ผสมกันอยู่ในฉากที่ว่าเอาเป็นว่าโดยรวมๆ ก็ดูได้เรื่อยๆ ครับ สำหรับผมหนังมาคุ้มตรงฉากบู๊ประมือในเรื่องนี่แหละ (มีอยู่ 3 ฉากใหญ่ๆ ที่ผมว่าเข้าท่า) ในขณะที่เนื้อหาจริงๆ มีประเด็น แต่การเล่าเรื่องมันไม่ขับเน้นประเด็นที่ว่าสักเท่าไร ยิ่งมาบวกกับความยาวกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว มันก็เลยกลายเป็นเรื่อยๆ ไปครับ