Ghost Rider : Spirit Of Vengence เรื่องราวของฮีโร่สุดดาร์คอย่าง โกสต์ ไรเดอร์ ในภาคนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากภาคแรก ที่ จอห์นนี่ เบลซ นั้นต่อสู้กับคำสาปของตัวเอง และ ยับยั้งตัวเองเพื่อไม่ให้กลายร่างเป็น ไอ้กระโหลกผี โกสต์ ไรเดอร์ แต่แล้วก็ดันมีเรื่องยุ่งๆมาทำให้ต้องกลับไปขยี้คนชั่ว เมื่อมี เด็กชาย ปริศนา นั้นได้ถูกลัทธิอะไรบางอย่างจับตัวไป เพราะคำทำนายที่ว่าเด็กชายคนนี้มีพลังซาตานที่จะทำลายโลกให้ย่อยสลายไปได้ จึงเดือดร้อนมาถึง จอห์นนี่ เบลซ
ที่ต้องออกซิ่งรถเพื่อไปช่วยเด็กชายอีกครั้ง เพื่อแลกกับการที่หัวหน้านักบวชผู้ว่าจ้างนั้นจะถอนคำสาปการเป็น ไรเดอร์ ให้กับเขาได้
Ghost Rider : Spirit of Vengence ในภาคนี้นั้นได้เปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็นคู่หูสุดคลั่งแห่งวงการฮอลลีวู้ดอย่าง มาร์ค เนเวลไดน์ และ ไบรอัน เทย์เลอร์ ที่พวกเราคงรู้จักพวกเขากันดี เพราะเขานั้นเองที่เป็นผู้กำกับคู่หูที่เคยทำเอาคนดูคลั่งจนตกเก้าอี้กันมาแล้วกับ Crank ทั้ง 2 ภาค และรวมไปถึงหนังคนเล่นเกมส์สุดเถื่อนอย่าง Gamer อีกด้วย ซึ่งในภาคนี้ที่พวกเขามาควบคุมการกำกับนั้นก็ได้ให้คำสัญญากับคนดูตั้งแต่ตัวอย่างว่ามันจะเถื่อนกว่า แรงกว่า และ เกรดบีกว่าภาคแรก และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะสิ่งเดียวที่ช่วยให้ Ghost Rider ภาคนี้พอดูได้จนจบนั้นคือสไตล์งานกำกับของคู่หูสุดเถื่อน ที่ยังพอมีลายเซ็นความคลั่ง ความบ้า ออกมาให้ผู้ชมได้ชมกันอยู่แทบตลอดทั้งเรื่อง
พร้อมไปกับการที่เป็นความชอบส่วนตัวของผมต่อนักแสดง นิโคลัส เคจ
จึงแอบรู้สึกดีใจนิดๆที่ยังคงได้เห็น เคจ ในหนังฟอร์มใหญ่ๆอยู่บ้าง พร้อมไปกับฉากแอ็คชั่นของหนังที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูมันส์ระเบิดระเบ้อมากมาย แต่สองผู้กำกับคนนี้ก็ถือว่ายังทำออกมาได้ดูเล่นๆได้อย่างสบายๆ ควบคู่ไปกับดนตรีประกอบสุดร็อคของหนังที่แต่งโดย เดวิด ซาร์ดี้ ที่ถึงแม้ดนตรีประกอบ และ ฉากของหนังที่กำลังฉาย อยู่นั้นจะมีอารมณ์ต่างกันสุดขั้ว แต่ในใจลึกๆก็ต้องยอมรับว่าเพราะดนตรีประกอบนั้นแหละที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นเหล่านั้นรู้สึกมันส์ได้อย่างประหลาดๆ แต่ก็มีแค่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นแหละที่เป็นข้อดีใน Ghost Rider ภาคนี้ เพราะที่เหลือของหนังในภาคนี้นั้นถือว่าทำออกมาค่อนข้าง น่าผิดหวัง
เริ่มตั้งแต่ด้านของประเด็นเรื่องความดี ความชั่ว ที่ตัวหนังได้เริ่มตั้งโจทย์มาได้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับฮีโร่สุดดาร์คตัวนี้ แต่สุดท้ายนั้นหนังก็กลับไม่ได้เลือกใช้บริการโจทย์นี้เกี่ยวกับความดี ความชั่ว สักเท่าไหร่
หนำซ้ำยังตัดทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใย แต่ที่น่าผิดหวังในภาคนี้ที่สุดคือด้านของ มุมกล้อง และ การตัดต่อ ของผู้กำกับ ที่มุมกล้องนั้นผู้กำกับพยายามจะอวดความเป็น Free-Style ในมุมกล้องเต็มที่ แต่หารู้ไม่ว่ามุมกล้องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นทั้งหลายดูแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง และ สนุกได้ไม่ค่อยเต็มที่นัก แถมในหลายๆฉากนั้น ผมยังมีความรู้สึกเหมือนกับว่าตอนผู้กำกับมาถ่ายหนังเรื่องนี้ได้กินเหล้ามาก่อนรึปล่าว
เพราะในหลายๆฉากของหนังค่อนข้างดู เมาๆ มาก และไม่เข้าใจที่สุดคือทำไมเวลาตัวร้ายของเรื่องภาคนี้อย่าง แคร์ริแกน โผล่ออกมาฆ่าคนทีไรนั้น แบคกราวน์ของหนังนั้นต้องกลายเป็น สีดำ ถ้าตอบว่าจะขายความแนวก็ไม่ใช่
เพราะดูแล้วไม่ได้รู้สึกว่ามันดูนะประหลาดใจ หรือ น่าสนใจตรงไหนเลยสักนิดเดียว และที่แย่ที่สุดในหนังนั้นคือการที่ผู้กำกับพยายามจะใส่อารมณ์ขันแนวตลกร้ายเข้ามาในหนัง ที่ท้ายสุดนั้นมุขตลกเหล่านั้นแทนที่จะใส่เข้ามาทำให้คนดู ดูแล้วรู้สึก ขำกลิ้ง กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ ฝืด และ น่าเบื่อ ที่สุดของหนังเลยก็ว่าได้ และถ้าถามว่าอะไร ก็คงต้องตอบได้สั้นๆว่ามัน ‘ไม่ตลก’ เอาเสียเลย