เรื่องราวความรักของเพื่อนบ้านสองคนที่เจอและรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ผ่านช่วงเวลาจากเหตุการณ์ต่าง ๆ จนโตขึ้น
ภาพยนตร์รัก ที่จะทำให้หัวใจของคุณกระชุ่มกระชวย
ถ้าถามว่ารู้จักหนังเรื่องนี้ได้อย่างไร ต้องบอกก่อนเลยว่าผมไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของมันมาก่อน อาจเป็นเพราะในปีที่หนังเรื่องได้ฉาย ผมไม่ได้มีความสนใจในเรื่องของภาพยนตร์เลย แต่แล้ววันนึงพี่ผมก็ฝากซื้อหนังเรื่องนี้ แล้วมันก็ไม่ดูสักที ผมเลยหยิบมาดูซะเลย
หนังเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในหนังที่ผมดูแล้วหาข้อติไม่ออกเลย แต่การรีวิวของผมก็ต้องเค้นมันออกมาให้ได้ แม้ที่ติของมันจะมีอยู่น้อยนิดก็ตาม ไม่รู้เพราะผมลำเอียงรึเปล่า แต่หัวใจของผมมันเต้นในจังหวะรัก (เหมือนเพลงพี่บี้) ดูหนังแนวเด็กๆรักกัน ครั้งสุดท้ายคงจะแฟนฉัน (โอ้โห โคตรนาน) ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า คำติของเรื่องนี้มันจะเบาบางมาก และแนะนำว่าคะแนน Imdb หรือ metascore จะทำอะไรคุณไม่ได้ ถ้าคุณได้ดูหนังเรื่องนี้จริงๆ…
จะขอพูดถึงแนวเรื่องก่อนเลยละกัน เนื้อเรื่องของเรื่องนำเสนอได้ไม่เหมือนใคร คือนำเสนอมุมมองของทั้งตัวเอกชาย และ หญิง เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์จะได้เห็นฝั่งชายและฝั่งหญิงคิดอย่างไร ด้วยการนำเสนอแบบนี้ ทำให้ตัวหนังไม่น่าเบื่อ และน่าติดตามจนจบเอามากๆ
เนื้อเรื่องคร่าวๆ สาวน้อยจูลี่ ตกหลุ่มรักหนุ่มน้อยไบรซ์ตั้งแต่แรกพบ ไบรซ์ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ตรงกันข้ามกับบ้านของเธอ นั่นทำให้เธอตกหลุมรักเขาแต่แรกพบ แต่ไบรซ์เองก็ไม่ได้แน่ใจอะไร เวลาผ่านไปทำให้หัวใจของทั้งสองเริ่มผันแปร ความรักที่น่ารักบังเกิด ตามสเต็ปพ่อแง่แม่งอน เป็นหนังครอบครัวที่คุณจะต้องจดจำ ความโรแมนติคสไตล์เด็กที่กำลังเข้าช่วงวัยรุ่น และความดราม่าอ่อนๆที่จะทำให้คุณหลงรัก
เนื้อเรื่องย้อนไปในยุค 50’s ปลายๆ จนถึง 60’s ต้นๆ มันคือช่วงเด็กและช่วงวัยรุ่นนั่นเอง หนังนำเสนอได้คลาสสิค สีฟิล์มแบบยุคเก่า การเปลี่ยนทรานซิชั่นแบบบ้านๆแต่คลาสสิค นั่นทำให้หนังเรื่องนี้ดูเรียบๆ แต่น่าสนใจ
หลายคนคงไปเซิร์ชหาใน Wikipedia และ Imdb จะสังเกตได้ว่า Box Office ค่อนข้างขาดทุน (ไม่แหละ ขาดทุนเลยในอเมริกาแต่ทั่วโลกไม่รู้) คะแนนจากผู้ชมค่อนข้างสูง แต่คะแนน Metascore เรียกได้ว่าน้อยมาก ก็ไม่แปลก เพราะตัวหนังมันเน้นความน่ารัก ไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรมากมาย
ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม theme ของเรื่องถึงได้นำเสนอปี 50’s-60’s ทั้งที่มันก็ไม่ได้สำคัญว่ามันจะอยู่ในยุคไหนด้วยซ้ำไป เนื้อเรื่องแบบนี้จะเอามาใส่ในปี 2010 ที่หนังจะฉายก็ได้ เพราะไม่ได้จุดที่เชื่อมมาสู่ปีปัจจุบัน แต่ผู้สร้างอาจจะชอบยุคนั้น เลยเลือกเอามาใส่ก็เป็นได้
รายละเอียดของหนังที่บ่งบอกว่าเป็นยุคนี้ก็ใส่เข้ามาประปราย เรียกได้ว่าไม่ได้เน้นกับยุคของตัวเองเลย ทำให้เราไม่เห็นความสำคัญของช่วงเวลาที่นำเสนอ จนบางทีตอนที่ดูก็ไม่ได้สนใจเลยว่าอยู่ในปีไหน แค่มีไปงั้นๆมากกว่า
อารมณ์ตอนดูหนังเรื่องเรียกได้ว่าชอบมาก จากที่อาทิตย์นี้หมดอารมณ์ดูมาทั้งอาทิตย์ ดูหนังก็ไม่ค่อยจะจบสักเรื่อง พอมาดูหนังแนวนี้ ไม่ต้องคิดมาก มันน่ารัก และทำให้ผมอยากมีความรักขึ้นมาเลย รูปแบบการเสนอความคิดของทั้งสองฝ่ายสลับไปมา เปลี่ยนมุมมองไปมา นี่แหละ ที่มาของชื่อเรื่อง “FLIPPED” (ซึ่งแปลว่า พลิก) ตัวหนังพลิกมุมมองไปมา ทำให้เราได้เข้าใจความคิดของทั้งสองฝ่าย ว่าในแต่ละสถานการณ์ ทั้งสองคนคิดยังไงแบบไหน เพราะความแหวกแนวตรงนี้ เลยทำให้ผมไม่เบื่อ (อาจจะมีเรื่องอื่นทำมาก่อนแล้ว แต่ก็น้อยเรื่องที่จะทำแบบนี้)
ความดราม่าของเรื่องมีแซมเข้ามาเล็กน้อยในเรื่องของปัญหาครอบครัว มันไม่ใช่ปัญหาที่หนักหน่วง แต่ก็พอทำให้เข้าใจลึกซึ้งในเรื่องแบบนี้ เรียกได้ว่ามันถูกถ่ายทอดออกมาได้ดีพอสมควร
ในจุดรายละเอียดต่างๆถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นความคิดของเด็กสาวและชายหนุ่ม ว่าเขาควรจะคิดอย่างไร บวกกับตัวหนังที่มีความยาวที่เหมาะสม เพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที ทำให้ตัวเรื่องรวบรัดและไม่ยืดเยื้อ
เพียงแค่ผมได้ดู มันก็คงจะประทับใจไปอีกนาน ผมขอแนะนำให้ไปหามาดูสักครั้ง และคุณจะต้องชอบ มันอาจไม่ทำคุณอินเท่าหนังรักบ้านเรา เพราะเป็นวัฒนธรรมที่คุ้นเคย แต่หนังเรื่องนี้จะทำคุณตกไปอยู่ในห้วงของความรัก และความน่ารักอย่างแน่นอน