ในปี 2020 นี้ เรียกได้ว่าเป็นวาระที่น่ายินดีของแฟน ๆ โดราเอมอนทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลกครับ เพราะว่าการ์ตูนขวัญใจหนู ๆ น้อง ๆ (และผู้ใหญ่หัวใจอ่อนโยน) เรื่องนี้ มีอายุครบรอบ 50 ปีพอดิบพอดี เรียกได้ว่าเป็นการ์ตูนในตำนานที่อยู่ร่วมสมัยมาอย่างยาวนานหลายรุ่น และการผจญภัยของโดเรมอน โนบิตะ และเหล่าผองเพื่อนก็ยังคงโลดแล่นต่อไปเรื่อย ๆ แม้ว่าผู้ให้ต้นกำเนิดโดราเอมอนอย่างอาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ จะจากเราไปนานแสนนานแล้ว
โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ตอนไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ
โดยเฉพาะในทุก ๆ ปี นอกจากที่เราจะยังคงได้ชมความสนุกผ่านทางจอทีวีแล้ว โดราเอมอนก็ยังออกมาโลดแล่นผ่านจอภาพยนตร์ในรูปแบบของภาพยนตร์เรื่องยาวที่มีมาต่อเนื่องในทุก ๆ ปี และมาถึงปีนี้ ด้วยวาระเวลาที่มาบรรจบกับการฉลองครบรอบ 50 ปีพอดี พี่ม่อนของเราก็ไม่พลาดที่จะพาไปผจญภัยกับ “โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่” ซึ่งภาคนี้เป็นโดราเอมอนในรูปแบบภาพยนตร์ลำดับที่ 40 พอดิบพอดี
แน่นอนว่า หลายคนเคยประทับใจและซึ้งน้ำตาไหลมาแล้วกับ โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ตอนไดโนเสาร์ของโนบิตะ (2006) ที่เป็นเรื่องราวของโนบิตะที่ดันบังเอิญไปเจอกับฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ แล้วพอใช้ผ้าคลุมกาลเวลาคลุมฟอสซิล ปรากฏว่าไข่ดันฟักออกมาเป็นไดโนเสาร์ขึ้นมาจริง ๆ โนบิตะเลยตั้งชื่อมันว่า “พีสุเกะ” แล้วก็ตัดสินใจจะเลี้ยงให้โตเพื่อจะเอาไปข่มไจแอนต์และซึเนโอะ ก่อนที่จะพบว่า การเลี้ยงไดโนเสาร์พันธุ์ “ฟุตาบะซอรัส” อย่างพีสุเกะให้อยู่รอดในโลกปัจจุบันนั้นเป็นไปได้ยากมาก ก็เลยต้องตัดสินใจย้อนเวลากลับไปยุคไดโนเสาร์เพื่อนำพีสุเกะกลับไปยังจุดที่กำเนิดขึ้นมา ซึ่งภาคนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่พูดถึงอย่างมาก ดูแล้วน้ำตาไหลกันเป็นแถบ ๆ
โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ตอนไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ
และมาในปีนี้ ก็ถือว่าเป็นการสานต่อความสำเร็จนั้น ด้วยการหยิบแก่นเรื่องของการผจญภัยในโลกยุคไดโนเสาร์กลับมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เหตุการณ์ก็ค่อนข้างจะคล้ายกับภาคเก่าอยู่พอสมควรเหมือนกัน คราวนี้โนบิตะดันไปพบกับไข่ฟอสซิลโดยบังเอิญในขณะที่ไปเที่ยวนิทรรศการไดโนเสาร์ โนบิตะก็เลยเอากลับมา แล้วใช้ผ้าคลุมกาลเวลาของโดราเอมอน จนกระทั่งไข่ฟักออกมาเป็นไดโนเสาร์ฝาแฝดน่ารัก 2 ตัว คือ “มิว” ไดโนเสาร์สีชมพูจอมซนที่สามารถบินได้ และกินเก่ง
โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ตอนไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ
กับ “คิว” ไดโนเสาร์สีเขียวที่มีร่างกายอ่อนแอ บินไม่ได้ แถมนิสัยยังแอบเหมือนโนบิตะที่ซุ่มซ่ามไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไหร่อีกต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่า คิวและมิวก็เติบโตขึ้นมากจนไม่อาจจะเลี้ยงต่อไปได้อีกในยุคปัจจุบัน โดราเอมอน โนบิตะ และผองเพื่อนก็เลยต้องพาทั้งคู่ไปส่ง ณ ถิ่นฐานบ้านเกิดของคิวกับมิวในช่วงปลายยุคครีเตเชียส อันถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่ไดโนเสาร์สูญพันธ์ุจากเหตุการณ์อุกกาบาตชนโลก
อย่างที่ผมเกริ่นว่า เนื้อหาของภาคนี้กับภาคที่แล้ว ถือว่ามีอะไรที่คล้ายคลึงกันอยู่มากทีเดียว โดยเฉพาะเมนพล็อต ต้น-กลาง-จบ ที่เหมือนซะอย่างกับแกะกันมาเลย แต่ถึงแม้ว่าเนื้อหาในภาคนี้จะจั่วหัวไว้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ภาคแรก (เจอกับพีสุเกะ) ไม่กี่อาทิตย์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในภาคนี้ถือว่าเป็นภาคที่มีความแตกต่างในแง่ของซับพล็อตที่ทำได้สนุกและแตกต่างจากภาคที่แล้วมาก ๆ ครับ
โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ตอนไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ
คือจริง ๆ ภาคที่แล้วก็ดูสนุกนะครับ แต่ภาคนี้ ต้องชมว่า ตัวหนังสามารถเล่าปูเรื่อง และตามเก็บเรื่องได้อย่างสนุกสนานและมีความครีเอทีฟ ในสไตล์การเล่าเรื่องแบบโดราเอมอนยุคใหม่ที่เราคุ้นเคยกันดี ทำให้การผจญภัยที่แม้ว่าจะเดินเป็นเส้นตรงและเดาเรื่องได้คล้ายกับภาคที่แล้ว แต่มันถูกนำเสนอผ่านเรื่องราวใหม่ ๆ ผนวกกับงานด้านภาพ 2D และ 3D ที่สามารถทำได้สวยงามกว่าภาคที่แล้ว ทำให้ภาคนี้ดูสนุกขึ้นอีกเป็นกอง
และถ้าใครที่กังวลว่า ถ้ามีสองภาคแบบนี้ จะต้องดูภาคแรกก่อนแล้วค่อยไปดูภาคนี้เพื่อความต่อเนื่อง (และดูรู้เรื่ีอง) หรือไม่ ก็ต้องบอกว่า ทั้งสองภาคนั้นค่อนข้างที่จะแยกจากกันอย่างชัดเจนครับ แทบไม่มีอะไรที่เกี่ยวเนื่องกันเลย จะดูภาคก่อนหน้าแล้วมาดูภาคนี้ หรือจะดูภาคนี้ก่อนเลยก็ย่อมได้ เพราะเส้นเรื่องไม่ได้มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันขนาดนั้นครับ และถ้าถามว่า ไหน ๆ ภาคนี้ก็เป็นการสานต่อจากภาคนั้นทั้งที จะไม่มีกลิ่นอายหรือเรื่องราว หรืออะไรที่เกี่ยวเนื่องกับภาคที่แล้วบ้างเลยเหรอ คำตอบก็คือมีครับ แต่จะมีอะไรยังไง อันนี้ขอไม่สปอยล์แล้วกันนะครับ