Death Race: Inferno ภาคนี้ต่อจากภาค 2 ครับ (แต่ก็ยังเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าของภาคแรก) หลังจากคาร์ล ลูคัส (Luke Goss) แจ้งเกิดในฐานะ “แฟรงเกนสไตน์” นักซิ่งท้าตายแห่งเรือนจำที่ผู้ชมทั่วโลกต่างชื่นชอบ
และในครั้งนี้ก็จะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว เพราะมีเงื่อนไขครับว่าหากเขาแข่งชนะครบจำนวนที่เบื้องบนตั้งไว้ เขาก็จะพ้นโทษและมีอิสระทันที แต่ก็อย่างที่รู้ๆ แหละครับว่ามันไม่ง่ายหรอก ยังไงเบื้องบนก็ต้องการให้เขาอยู่ในคุกแข่งเรียกเรตติ้งแบบนี้ตลอดไป ดังนั้นการซิ่งท้าตายครั้งนี้ของคาร์ล เลยเต็มไปด้วยอุปสรรคที่พร้อมจะฝังเขาให้จมดิน ไม่ได้ผุดได้เกิดออกไปนอกคุก
ภาคนี้ฉากแข่งรถจะเยอะขึ้น แล้วก็มีการแข่งนอกสถานที่ซึ่งก็น่าสนใจดีครับ เพียงแต่ดีกรีความมันส์อาจไม่มากเท่าภาคแรกที่มันมีอุปกรณ์บ้าๆ และกติกาโหดๆ มาสร้างความตื่นเต้นได้มากกว่า
Goss ยังคงไปได้ดีกับบทคาร์ล เช่นเดียวกับดาราหน้าเดิมจากภาคแรกที่ตบเท้ามาร่วมเล่นในภาคนี้ ไม่ว่าจะ Ving Rhames, Danny Trejo, Fred Koehler, Tanit Phoenix และ Robin Shou ที่มีส่วนช่วยให้หนังเพลินได้ในระดับหนึ่ง แล้วก็ยังมี Dougray Scott มาร่วมแจมด้วยอีกคน
ภาคนี้ Roel Reiné ยังคงกำกับเช่นเคย ซึ่งก็ถือว่ารักษามาตรฐานความเพลินไว้ได้พอๆ กับภาค 2 และถือเป็นผลงานที่สนุกกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ของเขา อย่าง The Scorpion King 3: Battle for Redemption ว่าง่ายๆ คือถ้าอยากดูหนังบู๊ผสมแข่งรถ ผสมไล่ล่า ปนด้วยความระทึก ภาคนี้ก็ยังโอเค ตอบโจทย์คอหนังแนวนี้ได้ในระดับหนึ่งครับและในครั้งนี้ก็จะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว เพราะมีเงื่อนไขครับว่าหากเขาแข่งชนะครบจำนวนที่เบื้องบนตั้งไว้ เขาก็จะพ้นโทษและมีอิสระทันที แต่ก็อย่างที่รู้ๆ แหละครับว่ามันไม่ง่ายหรอก ยังไงเบื้องบนก็ต้องการให้เขาอยู่ในคุกแข่งเรียกเรตติ้งแบบนี้ตลอดไป ดังนั้นการซิ่งท้าตายครั้งนี้ของคาร์ล เลยเต็มไปด้วยอุปสรรคที่พร้อมจะฝังเขาให้จมดิน ไม่ได้ผุดได้เกิดออกไปนอกคุกภาคนี้ฉากแข่งรถจะเยอะขึ้น แล้วก็มีการแข่งนอกสถานที่ซึ่งก็น่าสนใจดีครับ เพียงแต่ดีกรีความมันส์อาจไม่มากเท่าภาคแรกที่มันมีอุปกรณ์บ้าๆ และกติกาโหดๆ มาสร้างความตื่นเต้นได้มากกว่าGoss ยังคงไปได้ดีกับบทคาร์ล เช่นเดียวกับดาราหน้าเดิมจากภาคแรกที่ตบเท้ามาร่วมเล่นในภาคนี้ ไม่ว่าจะ Ving Rhames, Danny Trejo, Fred Koehler, Tanit Phoenix และ Robin Shou ที่มีส่วนช่วยให้หนังเพลินได้ในระดับหนึ่ง แล้วก็ยังมี Dougray Scott มาร่วมแจมด้วยอีกคน
ภาคนี้ Roel Reiné ยังคงกำกับเช่นเคย ซึ่งก็ถือว่ารักษามาตรฐานความเพลินไว้ได้พอๆ กับภาค 2 และถือเป็นผลงานที่สนุกกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ของเขา อย่าง
แต่อย่าลืมนะครับว่าต้องไม่คาดหวังจนเกินไป เพราะหนังเป็นหนังลงแผ่น ดังนั้นโปรดักชั่นต่างๆ ก็ไม่อลังการเท่าภาคแรก รวมถึงบทก็ไม่แน่นเท่าภาคแรกด้วย ^_^