เชื่อว่าหลายท่านจะมองว่านี่เป็นหนังภาคต่อในชุด Death Race ที่ Jason Statham นำแสดงเอาไว้หรือเปล่า อันนี้ก็บอกได้เลยครับว่ามันไม่ใช่ภาคต่อของกันและกันครับ
Death Race ฉบับแรกสุดถือกำเนิดในปี 1975 ในชื่อ Death Race 2000 อำนายการสร้างโดย Roger Corman ราชาหนังเกรดบี ซึ่งตัวหนังจัดว่าดูเอามันส์ได้ไม่เลวครับ ฉบับนั้นได้ David Carradine (เจ้าของบทบิลล์ แห่ง Kill Bill) มารับบท แฟรงเกนสไตน์ยอดนักซิ่ง และมี Sylvester Stallone แสดงสมทบด้วย
ส่วนฉบับปี 2008 ที่ Statham เล่นนำนั้นคือการรีเมคครับ ซึ่งก็มีการทำต่อออกมาอีก 2 ภาค และจะว่าไปแล้วหนังก็แอบๆ มีกิมมิค โดยให้เสียงของตัวละครแฟรงเกนสไตน์ตอนต้นเรื่องภาค 1 ให้เสียงโดย David Carradine ผู้รับบทนี้แต่ดั้งเดิมนั่นเอง
และฉบับล่าสุด Death Race 2050 นี้ก็เป็นการรีเมคจากฉบับปี 1975 อีกทีครับ โดยครั้งนี้ Corman หวนมานั่งเก้าอี้อำนวยการสร้างให้อีกครั้ง (ในขณะที่ฉบับของ Statham นั้น Corman ก็อำนวยการสร่างให้เช่นกันครับ)
เรื่องก็เกิดในปี 2050 ครับ เมื่อโลกเหลวแหลกจนกึ่งๆ จะไร้ขื่อแปและประชากรยังเยอะจนแทบล้นโลกอีก เลยจัดให้มีการแข่งขัน “เดธเรซ” ขึ้นมา โดยเหล่านักแข่งทุกคนก็ต้องชิงชัยกันด้วยความเร็ว และด้วยการทำแต้ม ซึ่งอันว่าการทำแต้มนั้นก็ด้วยการสังหารคนระหว่างทางให้มากที่สุด ด้วยพาหนะของตน
ครั้งนี้แฟรงเกนสไตน์ (Manu Bennett) มาเป็นตัวหลักครับ โดยมีสาวสวยอย่างแอนนี่ (Marci Miller) นั่งเบาะข้างไปด้วยกัน ซึ่งพวกเขาก็ต้องเจอกับคู่แข่งโหดๆ และแผนร้ายที่มุ่งหมายจะเอาชีวิตแฟรงเกนสไตน์อีกด้วย
หนังถือเป็นเกรดบีบวกอยู่เหมือนกันครับ เพราะงานสร้างและโปรดักชั่นมีความใหญ่พอสมควร แต่กระนั้นก็จะได้อารมณ์เกรดบีที่ผสมความดิบลงไปด้วย ซึ่งระหว่างดูนี่ก็ได้กลิ่นความเป็นหนังของ Roger Corman ไม่น้อยล่ะครับ โดยเฉพาะรสชาติแปลกๆ กับความขัดกันบางอย่างในองค์ประกอบของหนังซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนัง Corman มาหลายสิบปี
ความรุนแรงในหนังก็มาเต็มครับฉากโหดฉากเลือดสาดก็มีไม่น้อยทีเดียว ซึ่งเนื้อเรื่องก็เอื้อให้เกิดความรุนแรงอยู่แล้วครับ เอาแค่เจตนาในการจัดเดธเรซก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามีไว้ลดจำนวนประชากรโลก โดยหนังก็จิกกัดนิสัยชอบความรุนแรงของคนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง
ถ้าถามว่าดูเอามันส์ได้ไหม จริงๆ ก็ได้ล่ะครับ เพียงแต่มันจะไม่ได้มันส์แบบเข้มข้นเต็มที่ แต่มันจะมันส์สไตล์เกรดบีที่เนื้อเรื่องเหมือนจะจริงจังแต่ก็ไม่จริงจัง เลยทำให้บางอย่างในเรื่องอาจดูตลกหรือหลุดโลกบ้าง หรือเล่นกับจินตนาการเพี้ยนๆ แบบไม่เน้นความมันส์บ้าง
แต่สไตล์แบบนี้ก็มีบางคนที่ชอบครับ บู๊แบบดิบๆ โหดๆ แฟนตาซีๆ เกรดบีๆ ซึ่งใครไม่เคยลองหากจะอยากลองเพื่อเช็คตัวเองก็ได้นะครับ เผื่อจะชอบแนวนี้ (แต่อาจไม่รู้ตัว) แต่หากใครเคยลองแล้วและตระหนักแล้วว่าเราไม่ได้ชอบ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเฉยๆ กับเรื่องนี้ครับ
ดาราในเรื่องที่หน้าคุ้นหน่อยก็มี Malcolm McDowell (A Clockwork Orange) แล้วก็ Yancy Butler (Hard Target) สาวสวยหน้าคมอีกคนแห่งยุค 90 ที่ไม่ดังเท่าไร มาเรื่องนี้ก็ถือว่ามาแบบแป๊บๆ ครับ ไม่ได้มีบทเยอะอะไร ส่วนนางเอกอย่าง Marci Miller ก็ดูสวยในบางมุม (555)
ถือว่าดูเอาเพลินครับ แต่ Death Race ฉบับพี่ Jason อร่อยกว่าเยอะครับ และอันที่จริงแล้วผมว่าภาคต่ออีก 2 ตอนของหนังชุดนั้นก็สนุกกว่าเรื่องนี้ด้วย ส่วนเรื่องนี้จริงๆ มันน่าสนใจตรงจินตนาการโลกอนาคตที่กึ่งเพี้ยนกึ่งร้ายน่ะครับ แต่การเดินเรื่องกับแอ็กชันมันอาจไม่ได้โดนสักเท่าไร