หนังคนกินคนฝีมือการกำกับระดับปรมาจารย์ Ruggero Deodato ที่ก่อนหน้าจะสร้าง Cannibal Holocaust ลุงแกชิมลางหนัง Cannibal ด้วยเรื่อง Last Cannibal World หรือ Jungle Holocaust ในปี 1977 พอมาปี 1980 ผู้กำกับชาวอิตาเลี่ยนท่านนี้ก็ได้ปล่อยหนังคัลท์สุดคลาสสิกในตระกูล Cannibal เรื่อง Cannibal Holocaust หรือชื่อไทย เปรตเดินดินกินเนื้อคน
หนังเปิดเรื่องด้วยดนตรีสุดไพเราะราวกับได้เปิดดูสารคดีสัตว์โลกน่ารัก ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวของนักทำหนังสารคดีหนุ่มสาว 4 คน จากสหรัฐฯ สูญหายไปอย่างลึกลับในป่านรก แถบลุ่มน้ำอเมซอนเพื่อการถ่ายทำสารคดีหนังเผ่าพันธุ์มนุษย์กินคน…2 เดือนผ่านไป ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวจากกลุ่มนักทำหนังสารคดีดังกล่าว ทางหน่วยช่วยเหลือ มหาวิทยาลัย New York จึงได้ส่ง ศาสตราจารย์ Harold Monroe อาจารย์ภาคมานุษยวิทยา ลงพื้นที่ป่าอเมซอนเพื่อทำการสืบหาข้อเท็จจริง จนได้รู้ว่ากลุ่มนักทำหนังสารคดีทั้ง 4 คน ได้เสียชีวิตลงแล้ว เหลือไว้เพียงกล้องวิดีโอที่พวกเขาไม่มีโอกาสได้ดู
เมื่อหนังเรื่อง Cannibal Holocaust ถูกเผยแพร่ หนังที่อุดมไปด้วยภาพความรุนแรงในการทรมาน การฆ่าชำแหละ ด้วยภาพเสมือนจริง จนผู้กำกับ Ruggero Deodato ถูกจับกุมในข้อหาการทำหนังแบบ Snuff film ที่มาพร้อมกับข่าวลือว่านักแสดงบางคนในเรื่องนั้นถูกฆ่าจริงผ่านจอ หลังจากที่ได้มีการแจ้งข้อเท็จจริงจนคดีความหลุดพ้นไป แต่หนัง Cannibal Holocaust ก็ยังคงถูกห้ามฉายในหลายประเทศ
ศิวิไลซ์ที่มาพร้อมกับความรุนแรง
ใน Cannibal Holocaust นั้นอุดมไปด้วยฉากความรุนแรง ซึ่งเราจะได้เห็นจากทั้งการกระทำตามพิธีกรรม หรือการใช้ชีวิตในสังคมคนป่า ทั้งฉากฆ่าสัตว์เป็นๆ ทั้งการชำแหละขวักไส้มากิน สับหัวลิงเอาสมองมากิน ฉากกินไส้ เครื่องในสัตว์ และคน จนถึง ฉากการลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎของเผ่าโดยการทรมานลงโทษหญิงสาวด้วยการเอาแท่งหินยักษ์ชำเราอย่างโหดเหี้ยม ภาพการควักเด็กออกจากครรภ์และนำมาฝังโคลนตม หลังจากนั้น ผู้เป็นแม่ก็ถูกคนร่วมเผ่าใช้หินทุบหัวจนตาย
แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง เราจะได้เห็นความรุนแรงจากพฤติกรรมที่เหี้ยมโหดของกลุ่มผู้ถ่ายทำสารคดีทั้ง ทั้งการจุดไฟเผาสังหารหมู่คนป่า การร่วมรักกันอย่างเมามันโชว์ให้คนป่าเห็น และการวิ่งไล่ล่าจับสาวชาวป่ามาข่มขืนเวียนเทียนอย่างเมามัน เป็นต้น นั่นคือ สองแง่มุมของความรุนแรงที่เราสามารถพิจารณาได้ จากความรุนแรงในแง่มุมของวิถีชีวิตคนป่าที่ปฏิบัติกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เปรียบเทียบกับชาวอเมริกันสี่คนที่เต็มไปด้วยความศิริไลซ์แต่กลับใช้ความรุนแรงข่มคนที่ด้อยกว่าอย่างสนุกสนาน
จริงๆ เรื่องนี้มีแง่มุมให้เราได้คิดมากกว่าภาพความรุนแรงที่นำเสนอนะครับ อย่างการมองในแง่มุมของจรรยาบรรณสื่อสารมวลชนที่ต้องการเพียงจะ “ขาย” สร้างเรทติ้งให้กับรายการที่นำเสนอ โดยไม่ได้คิดถึงศีลธรรม ความเหมาะสม ที่จะถ่ายทอดออกไปสู่มวลชน กับการต่อต้านของศาสตรจารย์ Harold Monroe ในมุมมองตรงข้าม