หนังชีวประวัติสุดโลดโผนของ แบรี่ ซีล (ทอม ครูซ) นักบินมากฝีมือสุดห่าม ที่ต้องการผจัญภัยมากกว่าชีวิตน่าเบื่อ จับพลัดจับผลูไปลงเอยทำงานให้กับ CIA แต่ทว่าการทำงานเพื่อชาตินั้นลำพังไม่อาจพอยาไส้เมียและลูกได้ เขาเลยรับจ๊อบอื่นไปด้วยในตัว นั่นคือการลักลอบขนยาเสพติด ทำเงินได้ถึง 500,000 เหรียญต่อเที่ยว หลบสายตาของตำรวจไปพร้อมกับทำภารกิจลับ เป็นหนังไสตล์ค้าขายยาเสพติดที่ขึ้นสุดลงสุดมีช่วงเวลาตั้งต้น ช่วงเวลาสุดรวย และช่วงเวลาที่ตกต่ำกระแทกพื้น ท่ามกลางบรรยากาศสงครามเย็นที่คุกรุ่นอยู่รอบๆตัวและเนื่องจากทำจากเรื่องจริงมันเลยมีกลิ่นอายประวัติศาสตร์และการจิกกัดอเมริกันตลอดเวลา
การเล่าเรื่องของ American Made เรียกได้ว่าโคตรมันส์ เนื้อเรื่องสมบูรณ์ แต่ละองค์มีลูกล่อลูกชนครบ มีจังหวะบิวท์อารมณ์จังหวะสานต่อ มุกตลกร้ายกาจก่อนจะหักมุมใส่คนดูไม่ใช่แค่ทีเดียวแต่เป็นทั้งเรื่องแล้วค่อย ๆ ไต่อันดับความพีคไปตามเส้นแห่งความบ้าคลั่งของแบรี่ ซีลที่ต้องเผชิญทั้งพาร์โบว์ เอสโคบาร์เจ้าพ่อยาเสพติดชื่อดังที่ปรากฏในหนังเรื่องอื่นหลายๆ เรื่องการบินที่แทบเป็นไปไม่ได้ CIA ผู้ก่อการร้ายในนิคารากัวตำรวจจากทุกแผนกเงินจำนวนมหาศาล และแม้กระทั่งครอบครัวตัวเอง แม้หนังจะไม่มีฉากแอคชั่นเลย แต่การตัดต่อ การเล่าเรื่องนี่สนุก ไม่มีอืดแม้แต่นิดเดียวหนังไปต่อเสมอไปต่อแบบสุดมันส์
การกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งระหว่างทอม ครูซ กับผู้กำกับ Doug Liman จาก Edge of Tomorow นั้นเนียนและสมบูรณ์ทอม ครูซสามารถแบกหนังได้ทั้งเรื่องการแสดงของเขานอกจากขับเคี่ยวความเป็นแบรี่ ซีลออกมาบ้าๆ ห่ามๆ แล้ว ยังมีความเป็นมนุษย์ผิดชอบชั่วดีอยู่ในตัวเองเราจะค่อยๆ เรียนรู้อย่างช้าๆ ว่าชีวิตของเขา แม้จะทุลักทุเลแต่ก็งดงามในแบบของมันเองเพราะที่สุดแล้ว”เขาก็ได้ผจญภัย”อย่างแท้จริง
ใต้บรรทัดของหนังมีการจิกกัดการเมืองอเมริกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะแนวคิดผลประโยชน์ร่วม ทำให้ แบรี่ ซีล เอาตัวรอดมาได้บ่อย ๆ ด้วยลูกฟลุ๊คบ้าง เรื่องผิดกฏหมายบ้าง รวมไปถึงการพูดถึงนักการเมืองอีกคนที่มารับช่วงต่อจากแรเกน ก็เป็นไปตามชื่อหนัง ทุกความขัดแย้ง ทุกปัญหายาเสพติด ทุกปัญหาก่อการร้าย ดูเหมือนว่าหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯ นี่แหละเป็นต้นเหตุ เป็นสิ่งที่อเมริกาสร้างมากับมือ …เช่นเดียวกับตาลีบันในอนาคต…
หนังอาจทำให้ แบรี่ ซีล ดูเป็นคนดีไปบ้าง และมีครอบครัวที่ค่อนข้างโอเคในระดับหนึ่ง แต่โดยรวมแล้ว American Made ทำได้สนุกมาก ผมชอบหนังเรื่องนี้ เทียบได้กับหนังการเมืองสมัยสงครามเย็น เอาไว้ข้าง ๆ Lord of War (2005) และ Charlie Wilson’s War (2007) แบบต่อเนื่องกันได้เลยล่ะ
สนุกดี ถ้าชอบหนังไสตล์กล้องแฮนด์เฮล เล่าเรื่องด้วยคำพูดเยอะ ๆ มีตลกร้ายจิกกัดมนุษย์ สงครามเย็น ยาเสพติด และความบ้อบอต่อความรวยล่ะก็ แนะนำให้ดูในโรงเลย