หลัง ธานอส ดีดนิ้วสลายสิ่งมีชีวิตไปครึ่งจักรวาล สร้างบาดแผลให้ทีมอเวนเจอร์สอย่างยากจะเยียวยา แต่ด้วยเลือดนักสู้พวกเขาเลือกแปรความเจ็บปวดแล้วร่วมมือผู้รอดชีวิตต่อสู้กับเจ้าแห่งจักรวาล แม้จะด้อยทั้งกำลังคนและพละกำลัง แต่เพื่อแก้แค้นให้ครอบครัวอเวนเจอร์ส พวกเขาจะยืนหยัดต่อกรกับธานอสแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
Avengers : Endgame พี่น้องรุสโซ่ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะนอกจากบทภาพยนตร์ที่กลั่นกรองมาเป็นอย่างดีทั้งเหตุปัจจัยต่างๆที่บีบให้ตัวละครต้องสู้ เดิมพันที่ตัวละครจะต้องจ่ายเพื่อให้ชนะศึกครั้งนี้ที่ถูกถักทออย่างเป็นเหตุเป็นผลมากๆ จนหนังกล้าที่จะให้เรื่องราวกว่า 40% ของมันเป็นดราม่าทั้งที่คนดูต่างตั้งความหวังมาดูฉากแอ็คชั่นหรือความแฟนตาซี แต่ดราม่าของมันกลับนำพาอารมณ์ผู้ชมไปสำรวจจิตใจและสร้างอารมณ์ร่วมกับตัวละครอย่างได้ผล โดยเฉพาะการกำกับซีนดราม่าที่เอาคอเมดีแทรกของพวกเขายังทำให้เห็นทักษะในการเล่นกับอารมณ์ผู้ชมเป็นอย่างดี ที่สำคัญมันยังสามารถเชื่อมร้อยเหตุการณ์ในหนังก่อนหน้าได้อย่างสมเหตุสมผลและน่าประทับใจมาก
อีกส่วนหนึ่งของหนังที่อยากชื่นชมคือการพยายามเปลี่ยนทัศนคติและสร้างมุมมองด้านบวกต่อเพื่อนมนุษย์ ทั้งการให้ความโดดเด่นกับตัวละครผู้หญิง ด้วยภาพลักษณ์ของนักรบที่พร้อมทั้งความงามและความกล้าหาญ รวมไปถึงบทบาทสำคัญในการประคับประคองครอบครัว หรือการให้พื้นที่คนผิวสีในหนังฮีโร่ ซึ่งแม้จะมีช่วงเวลาโชว์พลังหรือความโดดเด่นน้อยไปหน่อย แต่เรียกได้ว่าแมสเสจที่ผู้สร้างพยายามจะส่งผ่านไปยังผู้ชมก็สามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการสานต่ออารมณ์ร่วมของยุคสมัยทั้งการเมืองเรื่องเพศ การเมืองเรื่องสีผิว และทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างดิสนีย์ ดูเป็นองค์กรที่มีความหลากหลายในเชิงพหุวัฒนธรรมจากคอนเทนต์ที่ผลิตมาตลอด 12 ปีนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งที่ผมชอบที่สุดคือแม้ชื่อภาคและการตลาดจะทำให้เราจดจ่อแค่ว่าเหล่าฮีโร่จะจัดการกับธานอสยังไง แต่ที่จริงมันกลับมีเรื่องเล่าที่สัมผัสใจ และความสนุกที่เกินพิกัดเท่าที่หนังเรื่องหนึ่งจะให้ได้จริงๆ