จาห์คอร์เป็นเด็กชายผิวสีซึ่งเกิดและโตในโอ๊กแลนด์ย่านคนผิวสี ถ้าคุณผู้อ่านเคยดูหนังเกี่ยวกับเชื้อชาติจะเห็นว่าคนผิวสีในปัจจุบันสามารถอยู่ร่วมกับคนขาวได้แต่สำหรับเรื่องนี้ทีมผู้กำกับสะท้อนมุมมองของย่านคนผิวสีโดยเฉพาะ มุมมองทางความคิดจึงสุดโต่งคนผิวสีในย่านนี้ไม่ได้สนใจคนผิวขาว พวกเขาสนใจแค่พวกพ้องของตนเอง หากพูดตามตรงแล้วหนังอยากแสดงให้เห็นว่าเป็นย่านที่คนผิวสีได้รับการศึกษาน้อยปัญหาอาชญากรรมจึงสูง เช่น การค้ายา การปล้น การฆ่า
อาชีพทุจริตเป็นเรื่องปกติสำหรับคนผิวสีในย่านนี้เพราะจากประวัติศาสตร์การค้าทาสในอดีตของสหรัฐทำให้สังคมคนผิวสีมีช่องว่างทางการศึกษาและระดับความมั่นคงทางเศรษฐกิจแตกต่างจากคนผิวขาวแม้กระทั่งในปัจจุบันก็มีคนผิวสีแท้ ๆ ส่วนน้อยมากที่จะตามทันคนผิวขาว จาห์คอร์เป็นคนผิวสีที่ไม่ชอบทำเรื่องทุจริตเขามีความฝันอยากเป็นนักร้องเพื่อจะได้มีชีวิตดีและปลอดภัย
ความคิดของจาห์คอร์ดีมากแต่ก็เป็นไปไม่ได้ในสังคมที่เขาเป็นอยู่ โอกาสทางการศึกษาและสังคมรอบข้างไม่ได้สนับสนุนทำให้เด็กหนุ่มของเราไร้หนทางสานต่อชีวิต รวมถึงไปอยู่ที่อื่นไม่ได้เพราะพฤติกรรมของเขาเป็นคนโมโหร้ายสั่งสมมาจากการเลี้ยงดูกับความรุนแรงที่ได้รับตั้งแต่เด็กด้วยคำสอนที่ว่า “คนผิวสีถูกสอนให้เอาชีวิตรอดแต่ไม่ได้สอนว่าต้องใช้ชีวิตแบบไหน” หมายความทำอย่างไรก็ได้ให้ตนรอดแม้จะต้องฆ่าก็ตาม
ชีวิตของจาห์คอร์ภายในคุกเป็นช่วงเวลาที่หดหู่แต่ก็ได้ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ว่าสังคมผิวสีที่เขาอยู่ผู้คนส่วนใหญ่เคยผ่านช่วงชีวิตในคุกไปแล้วและพวกเขารู้จักคุกดีกว่าโลกภายนอก รวมถึงได้สำรวจพฤติกรรมของตนเองว่าทำไมถึงเลือกชีวิตแบบนี้ ความรู้สึกหลังรับ All Day and a Night เศร้ามากเรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็มาจากประวัติศาสตร์ ส่วนตัวผมเข้าใจพฤติกรรมของคนผิวสีในหนังพวกเขาไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดีรวมถึงความหลากหลายทางสังคมแคบมาก วนเวียนอยู่กับเรื่องผิดกฎหมายประกอบกับความรุนแรงจึงสร้างกรอบแนวความคิดตกทอดเป็นรุ่น ๆ ว่าให้เอาตัวรอดและมองว่าคนขาวไม่น่าคบแต่ในเวลาเดียวกันก็ได้ฟังเสียงสะท้อนของตัวละครผิวสีอย่างจาห์คอร์ว่าพวกเขาก็อยากเปลี่ยนแปลงแต่มองหาหนทางไม่ออก หนังสะท้อนสังคมจริง ๆ อีกด้านให้เห็นว่าปัจจุบันย่านที่อันตรายและความเลื่อมล้ำมันมีอยู่จริง ๆ อยากให้คุณผู้อ่านเปิดใจรับชมหนังดี ๆ เพราะได้อะไรมากกว่าเรื่องสีผิวแน่นอน