ประเดิมปีใหม่ด้วยหนังแอคชั่นพลอตล้ำ ๆ ว่าด้วยสายลับนักฆ่านาม เทรวิส คอนราด (อีธาน ฮอว์ก) ที่ถูกปลุกชีพกลับมาด้วยเทคโนโลยีผิดศีลธรรมขององค์กรลับ ที่เวลาชีวิตที่เหลือแสนสั้นของเขาจะถูกแสดงและนับถอยหลังไว้บนแขน โดยมีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงก่อนที่จะตายอีกครั้ง เขามีทางเลือกกับเวลาชีวิตที่เหลือคือกลับไปทำภารกิจให้จบ สืบหาความจริงถึงภารกิจที่ทำให้เขาต้องตาย หรือกลับไปปิดบัญชีทุกคนที่เขามีความแค้น ด้วยพลอตที่ได้กลิ่นหนังอย่าง Crank (2006) และ In Time (2011) แต่ดูดุดันเข้มข้นในแบบทางแอคชั่นจริงจัง ก็ทำให้หนังเรื่องนี้ดูแตกต่างน่าสนใจขึ้นมา
โดยเฉพาะเมื่อว่าหนังกลับเล่นประเด็นดราม่าได้ถึงใจมาก การที่ตัวละครเอกมีเวลาเหลืออย่างจำกัดและไม่มีทางรอดแน่ ๆ เมื่อเวลาหมดลง ทำให้ทุกการตัดสินใจของเขาดูเปี่ยมด้วยพลังดราม่า การแสดงของอีธาน ฮอว์กที่รับบทนำก็ถ่ายทอดด้านเศร้าและเจ็บปวดนี้ได้อย่างดี หนังยังใส่รายละเอียดแบบระเบิดเวลาที่ไม่เพียงมีเวลาจำกัดแต่ผลข้างเคียงยังทำให้เขาเห็นภาพหลอนถึงลูกเมียที่ตายไปก่อนหน้า ก็ยิ่งทำให้เราได้ลุ้นกับตัวเอกมากขึ้นแม้ว่าเขาจะเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬเพียงใดก็ตาม
หนังเป็นผลงานกำกับของ ไบรอัน สแมริซ ที่คอหนังน่าจะไม่คุ้นชื่อ เพราะเขาคร่ำหวอดอยู่ในวงการหนังแอคชั่นในฐานะสตันท์ และผู้ช่วยผู้กำกับมายาวนานนั่นเอง ถ้าพูดชื่อหนังอย่าง Mission: Impossible II (2000) หรือหนังอย่าง Rise of the Planet of the Apes (2011) และ X-Men: Days of Future Past (2014) ก็ล้วนเป็นผลงานช่วยกำกับของเขาทั้งสิ้น ยิ่งมาได้ทีมสร้าง John Wick หนังแอคชั่นสุดมันแห่งยุคมาเป็นแบ็คอัพให้ในคราวนี้ด้วย ยิ่งเสริมให้สแมริซโชว์ของได้อย่างใจทีเดียว ตรงนี้เห็นชัดจากแนวแอคชั่นแบบรุนแรง ยิงแสกกบาล หนักแน่นแต่ละนัดคือชัดว่าตาย โหดสมกับที่เคยทำให้คีอานูรีฟกลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง
อีธาน ฮอว์ก กลับมาในงานแอคชั่นอีกครั้งหลังล่าสุดเราเพิ่งยลฝีมือไปใน The Magnificent Seven (2016) และเป็นตัวร้ายสุดเจิดใน Valerian and the City of a Thousand Planets (2017) แม้ส่วนตัวจะติดภาพเขาในแบบหน้าหงอยกับบทผู้ชายดราม่าอย่างในหนังตระกูล Before ทั้ง 3 ภาคของ ริชาร์ด ลิงก์เลเตอร์ มากกว่า แต่ในแนวแอคชั่นดราม่าก็ยังเป็นของถนัดเขาเช่นกัน ทำให้ดูไม่ขัดเขินนัก ฝั่งตัวร้ายได้ เลียม คันนิ่งแฮม หรือ เซอร์ดาวอส จากซีรีส์ Game of Throne มารับบท เวตสเลอร์ ก็ถือว่าดูโหดเหี้ยมมีความลึกลับได้อารมณ์ดี และที่ต้องชมอีกคนคือตัวร้ายลูกคู่ที่ได้ พอล แอนเดอร์สัน มารับบทเพื่อนรักที่ต้องจำใจเก็บเพื่อนตัวเองอย่าง จิม ก็ทำให้หนังมีแรงขับดราม่าทั้งฝั่งพระเอกและตัวร้ายทีเดียว